23 ก.ย. – กรณี “ครูเบญ” ร้องเรียนผลการสอบคัดเลือกบรรจุเป็นพนักงานราชการทั่วไป ตำแหน่งครูผู้สอน สังกัด สพม.สระแก้ว กลับไปสอนโรงเรียนเดิม หลังผลการตรวจสอบคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ตามที่ระเบียบกำหนดไว้
น.ส.เบญญาภา หรือ “ครูเบญ” อายุ 24 ปี ซึ่งเข้าสอบคัดเลือกบรรจุเป็นพนักงานราชการทั่วไป ตำแหน่งครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระแก้ว ได้อันดับ 1 แต่พอผ่านไป 3 วัน ปรากฏว่าไม่มีชื่อของตนเอง จึงร้องเรียนขอความเป็นธรรม เมื่อวนศุกร์ที่ผ่านมามีการเลื่อนการแถลงผลการตรวจสอบกระดาษคำตอบของครูเบญ แต่ผลออกมาแล้วคือคะแนนสอบของครูเบญ ไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ถึง 60% ตามที่ระเบียบกำหนดไว้ ทั้งภาค ก. และ ภาค ข. หลังจากนี้จะส่งกระดาษคำตอบไปให้กองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจดูร่องรอยการแก้ไขว่ามีการลบหรือเปลี่ยนคำตอบหรือไม่
ว่าที่ ร.ต.รภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน หรือรองเจมส์ รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เปิดเผยหลังจากคุยกับครูเบญว่า ครูเบญไม่ได้ต้องการเป็นที่ 1 แต่ต้องการความถูกต้องยุติธรรมเท่านั้น ไม่ต้องการรับการเยียวยาอะไร ต้องการเป็นครูของนักเรียนอย่างมีความสุข ทำหน้าที่แม่พิมพ์ให้สมบูรณ์ แม้เป็นเพียงครูอัตราจ้าง ถึงแม้สู้มาจนได้บรรจุ ครูเบญคงไม่มีความสุขในการไปอยู่ที่นั่นแล้ว หลังจากนี้คงไม่ให้ครูเบญพูดอะไรหรือทำเรื่องอะไรแล้ว เพราะคาดว่าน่าจะบอบช้ำกับการสอบและผลของการสอบระบบนี้มากพอ ขณะเดียวกันที่ทำงานเก่าของครูเบญไม่ได้อนุมัติใบลาออก เท่ากับว่าครูเบญเดินหน้ากลับไปเป็นครูอัตราจ้าง สอนเด็ก ป.1 ได้เหมือนเดิม ครูเบญบอกว่าต้องเดินหน้าต่อ เพราะเด็กๆ ป.1 รอคุณครูเบญกลับไปสอนพวกเขาอยู่
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสงสัยอีกว่าควรเปลี่ยนวิธีการใหม่หรือไม่ ในประเด็นที่ยังมีคนสงสัยว่าคะแนนครูเบญไม่ถึง แล้วสอบสัมภาษณ์คือ ภาค ค. ได้อย่างไร ย้อนกลับไปดูปฏิทินการสรรหาพนักงานราชการครูสระแก้ว มีการสอบแบบรวดเดียว คือประกาศรายชื่อคนมีสิทธิสอบวันที่ 27 สิงหาคม จากนั้นสอบภาค ก., ข. และ ค. วันที่ 7-8 กันยายน สอบเสร็จประกาศผลวันที่ 9 กันยายน เท่ากับว่าสอบ 2 วันเสร็จ วันถัดไปประกาศผลเลย
ประเด็นนี้ ว่าที่ ร.ต.ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตอบข้อสงสัยประเด็นนี้ว่า กรณีครูเบญ ผลตรวจสอบสรุปว่ามีคะแนนไม่ผ่านภาค ก. และภาค ข. แต่กลับสามารถเข้าสอบภาค ค. ได้ เนื่องจากการสอบครั้งนี้เปิดสอบคัดเลือกบุคคลบรรจุพนักงานราชการตำแหน่งครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) จังหวัดสระแก้ว ตามระเบียบการสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารพนักงานข้าราชการ
ที่กำหนดให้ส่วนราชการนั้นเป็นผู้กำหนดวิธีการสอบ ซึ่งทาง สพฐ. ได้ออกหลักเกณฑ์การสอบภาค ก. ภาค ข. และภาค ค. ต่อเนื่องกันได้ ซึ่งในการสอบครั้งนี้มีกำหนดสอบภาค ก. และภาค ข. ในวันที่ 7 กันยายน และสอบภาค ค. ในวันที่ 8 กันยายน โดยหลังสอบเสร็จจะมีการตรวจสอบคะแนนทั้ง 3 ภาค ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 จึงจะผ่านเกณฑ์การคัดเลือก
แตกต่างกับการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครู ใช้หลักเกณฑ์ตามระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมีการสอบภาค ก.และภาค ข. ผ่านเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 ถึงจะมีสิทธิเข้าสอบภาค ค. ได้
ทั้งนี้ ระเบียบข้อปฏิบัติการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเป็นพนักงานข้าราชการ ใช้ข้อระเบียบการสอบเหมือนกันทั่วประเทศ และเป็นแนวปฏิบัติที่ดำเนินมาก่อนจะมีกรณีการร้องเรียน เน้นย้ำว่ากรณีที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความเชื่อถือสูงสุด ขณะนี้ได้ส่งหลักฐานทั้งหมดให้ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานร่วมตรวจสอบด้วย เมื่อมีข้อสรุปจากหน่วยงานต่างๆ จะแถลงข่าวชี้แจงต่อสาธารณชน ถ้าผลการตรวจสอบพบมีความผิดพร้อมดำเนินตามนโยบายและบทลงโทษตามระเบียบ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีความคืบหน้าจากกรรมาธิการการศึกษา โดยนายปารมี ไวจงเจริญ หรือครูจวง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ทวีตข้อความผ่าน x ว่าหากครูเบญญาภา ยังติดใจในบางประเด็นและคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ดิฉันและพรรคประชาชนขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน จากกรณีนี้เห็นว่าผู้บริหาร สพม.สระแก้ว และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในความบกพร่องที่เกิดขึ้น จึงขอเรียกร้องให้เลขาฯ สพฐ. ดำเนินการลงโทษตามขั้นตอนต่อไปด้วย และเพื่อให้เหตุการณ์นี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องไม่เกิดขึ้นอีก เพราะนี่เป็นการสอบสำคัญ เป็นการสอบเข้าสู่ระบบราชการ ซึ่งต้องทำอย่างมืออาชีพ รัดกุม รอบคอบ ยุติธรรม และโปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงเสนอเรื่องนี้เข้าสู่คณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้เชิญเลขาฯ สพฐ. และผู้บริหาร สพม.สระแก้ว เข้ามาชี้แจง เพื่อร่วมกันออกแบบระบบการสอบครูทุกประเภทให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และโปร่งใส ตรวจสอบได้ต่อไป
ครูจวงยังได้ทวีตข้อความอีกว่า “กรณีสอบครู สพม.สระแก้ว ของครูเบญญาภา ได้พูดคุยกับคุณเจมส์ ผู้บริหารมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ซึ่งได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง ดิฉันจะได้นำไปซักถามผู้บริหาร สพฐ. ในวันที่เข้ามาชี้แจง ในคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ต่อไป” .-สำนักข่าวไทย