กทม. 22 ก.ย.-หลังจากราชกิจจาฯ เผยแพร่ กฎกระทรวงเกณฑ์ตรวจปัสสาวะ-ตรวจเลือด นักดื่มเมาแล้วขับฉบับใหม่ ต่อไปนี้ ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ให้ถือว่าเมาแล้วขับ
(20 ก.ย.67) หลังจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎกระทรวงการทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ขับขี่ พ.ศ.2567 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 นายกรัฐมนตรีออกกฎกระทรวงไว้ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ คือ ข้อที่6 (1) ในกรณีที่ผลการทดลอบปรากฎว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่ายี่สิบปี ให้ถือว่าเมาสุรา แต่สำหรับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ขับขี่ซึ่งมิใช่ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่ายี่สิบปี ให้ถือว่าเมาสุรา
จากประเด็นนี้ ทนายเดชา หรือทนายคลายทุกข์ ระบุว่า กฎกระทรวงฉบับใหม่ มีเจตนารมณ์ชัดเจน ว่า ต้องการแก้ไข ปรับปรุง กำหนดกฎเกณฑ์การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ให้มีความชัดเจน เหมาะสมยิ่งขึ้น สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบเมาแล้วขับ ยังคงเหมือนเดิม คือหากพบผู้ขับขี่รถทุกประเภทต้องสงสัยว่า เมาแล้วขับ เจ้าพนักงานสามารถเรียกตรวจเพื่อทำการเป่า วัดระดับแอลกอฮอล์ได้ แต่ในกรณีที่ไม่สามารถเป่าได้ จะต้องทำการตรวจด้วยปัสสาวะ
กฎกระทรวงฉบับนี้ ได้กำหนดชัดเจนว่า ขั้นตอนการตรวจปัสสาวะ เจ้าพนักงานจะต้องหาสถานที่ที่มีความเหมาะสมมิดชิดให้กับผู้ถูกตรวจ รวมถึงต้องหาภาชนะจัดเก็บปัสสาวะที่มีฝาปิดผนึก ป้องกันปัญหาปัสสาวะ หกเลอะเทอะ หรือหายไป ฝากนำส่งโรงพยาบาล พร้อมทั้งจะต้องให้ผู้ถูกตรวจสอบลงลายมือชื่อ ป้องกัน การสับเปลี่ยน ปัสสาวะ แต่ในขั้นตอนเหล่านี้ต้องอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่
เช่นเดียวกับการตรวจเลือด กฎกระทรวงกำหนดให้ นำผู้ต้องสงสัย ว่าเมาแล้วขับ ส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง ด้วยความรวดเร็วตามเวลาที่ ผบ.ตร.กำหนด เพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมดำเนินการตรวจสอบตรวจเลือดว่ามีปริมาณ แอลกอฮอล์ เกินกว่ากฎหมายกำหนดหรือไม่ เช่น ถ้าเป็นผู้ที่มีใบขับขี่ตลอดชีพแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น มีความผิดตามกฎหมาย เช่นเดียวกันกับกลุ่มเด็กแว้น ที่อายุไม่ถึง 20 ปีหรือผู้ที่มี ใบขับขี่ชั่วคราว หรือผู้ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ขับขี่ ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าเมาแล้วขับต้องรับโทษตามกฎหมาย.-สำนักข่าวไทย