เมืองทองธานี 29 ส.ค. – ปธ.ศาลฎีกา แนะศาลเยาวชนและครอบครัว ปรับบทบาทรองรับสังคมยุคใหม่ ให้โอกาส ขัดเกลาด้วยเงื่อนไขเข้มงวด
นางอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “บริบทศาลเยาวชนและครอบครัว กับมิติความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงในสังคม” ว่า เพื่อให้ก้าวทันต่อยุคสมัย สถาบันครอบครัวเป็นหน่วยย่อยเล็กที่สุดในสังคม แต่สำคัญที่สุดในสังคมไทย เพราะมีบทบาทเลี้ยงดู สั่งสอนให้เด็กเป็นคนดีของสังคม โดยเฉพาะสังคมเท่าเทียมของหญิงชาย สภาพเพศทางครอบครัว การแต่งงานกับชาวต่างชาติ ซึ่งต้องแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับบริบทของสังคม
“ศาลเยาวชนและครอบครัว ไม่เพียงแต่พิพากษาคดีลงโทษ เพื่อป้องปรามมิให้เด็กและเยาวชนกระทำความผิดซ้ำ แต่ควรปรับบทบาทรองรับสังคมยุคใหม่ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและเยาวชน และครอบครัวที่ตกอยู่ในภาวะยากลำบาก ต้องเผชิญกับความเสี่ยง และความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเพื่อให้เด็กและเยาวชนกลับไปเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อสังคม และประเทศ เพื่อให้โอกาสผู้กระทำผิด รู้สึกสำนึก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พร้อมกับการขัดเกลาอย่างเข้มงวด” ประธานศาลฎีกา กล่าว
นายเผดิม เพ็ชรกูล อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กล่าวว่า ศาลเยาวชนและครอบครัว พร้อมรองรับนโยบายของประธานศาลฎีกา มุ่งแก้ไข บำบัดและฟื้นฟูผู้กระทำผิดเด็กและเยาวชนอย่างครบวงจร การพัฒนาศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในคดีอาญา โดยครอบคลุมถึงการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูผู้กระทำผิดและผู้เสียหายในคดีอาญา ศูนย์ติดตามด้วยความห่วงใยเด็กและเยาวชน โดยร่วมมือระหว่างศาลเยาวชนและครอบครัวกับภาคส่วนต่าง โดยมีผู้พิพากษาสมทบเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันนโยบายดังกล่าวเพื่อดูแลปัญหาสังคมยุคใหม่
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ลงนาม MOU ร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น อาชีวะศึกษา เพื่อเติมความรู้ การประกอบอาชีพ ทั้งตัดผม เสริมสวย สารพัดช่าง รวมทั้งมหาวิทยลัยปัญญาภิวัฒน์ ส่งเสริมให้เยาวชนผู้กระผิด เรียนรู้การประกอบกิจการ โดยมีกองทุน สสส. ดูแลด้านเงินทุน เรียนในชั้น ม.3 และหน่วยงานอื่นๆ ร่วมดูแลจึงอยากให้สังคมให้โอกาสคนเหล่านี้ เพื่อให้เยาวชนกลับคืนสู่สังคมอย่างยั่งยืน
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.จิรนิติ หะวานนท์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กล่าวว่า การแก้ไข บำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชน อันเป็นภารกิจสำคัญของศาลเยาวชนและครอบครัว ต้องหาสาเหตุของการกระทำความผิดให้ตรงจุด รวมถึงการฝึกอาชีพ เติมความรู้ เพื่อให้ผู้กระทำความผิดกลับเข้าสู่สังคมได้ โดยไม่หวนกลับไปกระทำความผิด ผ่านการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต กล่าวว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา มีคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กทางอินเทอร์เน็ต 541 คดี ได้ช่วยเหลือผู้เสียหายผู้หญิง 290 คน ผู้ชาย 68 คน คนร้ายจะมีวิธีการล่อลวงด้วย ให้เข้ากลุ่มลับ หลอกจะให้เงิน บังคับให้ส่งไฟล์ ชักชวนเป็นดารา ชวนให้แก้ผ้า ท้าให้เปิดกล้อง ให้ลองแลกไอเท็ม วิธีการต่างๆ นี้ ติดต่อผ่านแอปฯ หาคู่ เกมออนไลน์ และโซเซียลมีเดีย จึงแนะนำวิธีการรับมือไม่ตกเป็นเหยื่อ ต้องไม่รีบเป็นเพื่อน หรือสนทนากับบุคคลที่ไม่รู้จัก ต้องไม่ส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับบุคคลที่ไม่รู้จัก ไม่บันทึก หรือส่งรูปภาพ หรือวิดีโอที่สื่อกิจกรรมทางเพศแก่บุคคลอื่นแม้เป็นคนที่ไว้วางใจได้ก็ตาม.-515 -สำนักข่าวไทย