ป.ป.ส.8 ก.ค. – ป.ป.ส.เตรียมนำมติ ให้กัญชากลับเป็นยาเสพติดเข้าบอร์ดฯ ปลายเดือน ก.ค.นี้ ยัน “เมล็ด” ไม่มี THC ที่เป็นสารเสพติด ปลดล็อกได้ แต่จะมีกฎกระทรวงออกมาควบคุมการใช้ประโยชน์-ปลูก
ภายหลังคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข มีมติให้กัญชากัญชง กลับเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เพื่อเสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มีมติต่อไป โดยจะให้มีผลเปลี่ยนแปลงในวันที่ 1 ม.ค.68
นายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า เนื่องจากขั้นตอนการประกาศระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด กำหนดไว้ว่า การระบุชื่อยาเสพติดว่าชนิดใดจะอยู่ประเภทใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดก่อน ดังนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุข จะนำมติของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดดังกล่าวเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามส่งมาให้ป.ป.ส.นำเข้าบอร์ด ป.ป.ส.ที่จะมีการประชุมช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อพิจารณามีมติว่าเห็นด้วยหรือไม่ มีข้อเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อเป็นมติกลับไปยังกระทรวงสาธารณสุข เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พิจารณาลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ ในวันที่ 1 ม.ค.68 เพื่อให้ผู้ที่มีใบอนุญาตเดิมได้ปรับตัว และขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมายใหม่ ทั้งนี้ กัญชาเป็นพืชล้มลุก จึงกำหนดให้เวลา 3-4 เดือน ต้นก็จะตายไปและการปลูกใหม่ต้องทำให้ถูกต้องก่อน
รองเลขาฯ ป.ป.ส.กล่าวอีกว่า การให้กัญชากัญชง กลับเป็นยาเสพติด จะเหมือนกับที่เคยเป็นยาเสพติด ก่อนปลดล็อคไป เว้นแต่เมล็ดที่เดิมเคยเป็นยาเสพติด แต่ครั้งนี้เมล็ดไม่เป็นยาเสพติด และส่วนที่มีสาร THC น้อย เช่น เปลือก ใบ ราก เส้นใย กิ่งก้าน ก็ไม่เป็นยาเสพติด จึงมีข้อกังวลคือเมล็ดกัญชา ซึ่ง สธ.จะไปกำหนดในกฎกระทรวงเรื่องการขออนุญาตปลูก หลังกำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษแล้ว ส่วนช่อดอกกับยางเป็นยาเสพติดแน่นอน กฎหมายห้ามมีไว้ในครอบครอง หรือนำเข้าหรือจำหน่าย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต ซึ่ง สธ.จะออกข้อกำหนดอีกทีว่าใครบ้างจะขออนุญาตได้บ้าง ตามหลัก รมว.สธ.จะเป็นผู้กำหนด โดยมีคณะกรรมการยกร่าง และให้คณะกรรมการ ป.ป.ส.ช่วยดู ซึ่งหากกัญชากลับเป็นยาเสพติดแล้ว ก็จะใช้ได้เฉพาะประโยชน์ทางการแพทย์ที่ต้องได้รับอนุญาต หากใช้เพื่อสันทนาการ ป.ป.ส.ต้องดำเนินคดีจับกุม ร้านค้าธุรกิจกัญชา ก็ต้องผ่านเงื่อนไขในการขออนุญาต ตามกรอบของกฎกระทรวงใหม่ ให้ขายได้เฉพาะทางการแพทย์.-119-สำนักข่าวไทย