ไทยได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก เรื่องคุมเข้มและกำจัดไขมันทรานส์

7 ธ.ค. – องค์การอนามัยโลก รับรองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมอาหาร เป็น 1 ใน 5 ประเทศแรกที่ได้รับการรับรองสอดคล้องตามหลักเกณฑ์ ทั้งด้านการออกกฎหมายควบคุม รวมถึงมีการเฝ้าระวังเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง


นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ไขมันทรานส์เกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนในน้ำมันเพื่อเปลี่ยนสภาพน้ำมันให้เป็นไขมันที่มีสภาพกึ่งแข็งกึ่งเหลว เช่น เนยเทียม เนยขาว และทำให้มีคุณสมบัติ หืนช้า มีอายุการเก็บรักษานานขึ้น นิยมนำไปใช้ในกลุ่มขนมอบหรือ เบเกอรี่ ซึ่งปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พบว่าไขมันทรานส์เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ อย.จึงได้ดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อกำจัดไขมันทรานส์ ตั้งแต่ปี 2560 และได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ 388 พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2561 เพื่อห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายน้ำมัน หรืออาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (ไขมันทรานส์) เป็นส่วนประกอบ และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2562 เป็นต้นมา เป็นการควบคุมตั้งแต่สถานที่ผลิต นำเข้าน้ำมันหรือไขมันที่ปราศจากไขมันทรานส์ และตรวจสอบวิเคราะห์อาหารที่อาจมีการใช้น้ำมันหรือไขมันทรานส์อย่างเข้มงวด ณ สถานที่จำหน่าย โดยอาหารที่เก็บ เป็นอาหารกลุ่มเบเกอรี่ เนยเทียม และครีมเทียม เพื่อกำกับดูแลไม่ให้มีวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันทรานส์ นอกจากนี้ ในส่วนของผู้บริโภค อย. มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องไขมันทรานส์อย่างต่อเนื่องทุกช่องทาง และเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 องค์การอนามัยโลกจึงออกประกาศนียบัตรรับรองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมอาหาร โดยเป็น 1 ใน 5 ประเทศแรก ได้แก่ ไทย เดนมาร์ก ลิทัวเนีย ซาอุดิอาระเบีย และโปแลนด์ ที่ได้รับประกาศนียบัตรดังกล่าวจากการสมัครเข้าร่วมโครงการรับรองการกำจัดไขมันทรานส์ขององค์การอนามัยโลก ทั้งนี้ ในการประเมินการกำจัดไขมันทรานส์ องค์การอนามัยโลกได้ตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินมาตรการกำกับดูแล และบังคับใช้กฎหมายในการกำจัดไขมันทรานส์ของไทย และให้การยอมรับว่าประเทศไทยเป็นผู้นำในการกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมอาหารอย่างจริงจัง

นายแพทย์ณรงค์ กล่าวต่อว่าการกำจัดไขมันทรานส์ออกจากอุตสาหกรรมอาหาร เป็นการช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ และการดำเนินการที่ผ่านมา จึงถือได้ว่าประเทศไทยได้ยอมรับจากสากลในการกำจัดไขมันทรานส์จากอุตสาหกรรมอาหารอย่างเข้มงวด และต่อเนื่องตลอดมา ทั้งนี้ อย. ยังคงมุ่งมั่นและดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยต่อไป. -สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่ม 31 ซิ่งเก๋งชนไรเดอร์ดับคาที่ หลังมีปากเสียงเรื่องขับเฉี่ยวชน

หนุ่มไทยเชื้อสายอินเดีย ลูกเจ้าของร้านขายผ้าซิ่งเก๋งชนไรเดอร์ดับ ริมถนนสุขุมวิท หลังมีปากเสียงเรื่องขับรถเฉี่ยวไม่ลงมาเจรจา

พ่อพาญาติเยี่ยมลูกชายลูกครึ่งอินเดีย ขับรถชนไรเดอร์ดับ

พ่อพาญาติเยี่ยมลูกชายลูกครึ่งอินเดีย ที่หัวร้อนขับรถชนไรเดอร์ดับคาที่กลางสุขุมวิท เมื่อวานนี้ พร้อมไหว้ขอสื่อ อย่ามายุ่งกับครอบครัว

จำคุกทนายเดชา

ศาลสั่งจำคุก 1 ปี “ทนายเดชา” ปมไลฟ์หมิ่น “อ.อ๊อด”

ศาลสั่งจำคุก 1 ปี “ทนายเดชา” คดีหมิ่น “อ.อ๊อด” ปรับ 1 แสนบาท ปมไลฟ์ด่าเสียหาย ให้รอลงอาญา โจทก์เตรียมอุทธรณ์ต่อ ขอให้ติดคุกจริง

ศาลให้ประกันหนุ่มลูกครึ่งอินเดียหัวร้อนขับรถไล่ชนไรเดอร์ดับ

ครอบครัวไรเดอร์ที่ถูกหนุ่มลูกครึ่งอินเดียหัวร้อนขับรถไล่ชนเสียชีวิต กอดกันร้องไห้รับร่างและรดน้ำศพ ด้านศาลให้ประกันตัวผู้ต้องหา วงเงิน 600,000 บาท ติดกำไล EM-ห้ามออกนอกประเทศ

ข่าวแนะนำ

สมรสเท่าเทียม

นายกฯ ส่งคลิปสารร่วมยินดีกฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้

“แพทองธาร” นายกฯ ส่งคลิปสารร่วมแสดงความยินดีกฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้ ขอบคุณทุกภาคส่วนผ่านการต่อสู้กับอคติกว่า 2 ทศวรรษ ทำให้ ทุกตารางนิ้วของประเทศไทยโอบรับความหลากหลาย และเท่าเทียม

จำคุกสมรักษ์คำสิงห์

ศาลสั่งคุก 2 ปี 13 เดือน 10 วัน “สมรักษ์” พยายามข่มขืนสาววัย 17

ศาลจังหวัดขอนแก่น พิพากษาจำคุก “สมรักษ์ คำสิงห์” อดีตนักมวยฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก เป็นเวลา 2 ปี 13 เดือน 10 วัน พร้อมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวม 170,000 บาท คดีพยายามข่มขืนเด็กสาววัย 17 ปี

คึกคัก คู่รักจูงมือกันไปจดทะเบียนวันแรกกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผล

วันนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ หลายคู่รักควงแขนไปจดทะเบียนสมรสกันชื่นมื่น ที่สยามพารากอน มีคู่รักที่ลงทะเบียนมาจดทะเบียนสมรสที่นี่กว่า 300 คู่

ฝุ่น กทม.

คนกรุงจมฝุ่นต่อเนื่อง เช้านี้อยู่ระดับสีแดง 21 พื้นที่

กทม. อ่วมหนัก ฝุ่น PM 2.5 พุ่งต่อเนื่อง อยู่ระดับสีแดง ผลกระทบต่อสุขภาพ 21 พื้นที่ ย้ำสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่นอกอาคาร และงดกิจกรรมกลางแจ้ง