กทม.ชนหมัดคมนาคม​ เดินหน้าพัฒนาระบบขนส่งมวลชน

กรุงเทพฯ 20 พ.ย. – กทม.ชนหมัดคมนาคม​ เดินหน้าพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ตั้งเป้าป้องกันและลด PM 2.5 จากภาคคมนาคมขนส่ง


(20 พ.ย.66) เวลา 15.00 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมแถลงนโยบายและมาตรการเพื่อป้องกันและลดมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากภาคคมนาคมขนส่ง โดยมีนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก​ นางสาวณภัทรา กมลรักษา ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม​ ร่วมแถลงข่าว ​​และมีผู้บริหารกรุงเทพมหานคร​ ผู้บริหารสำนักสิ่งแวดล้อม​ ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมงานแถลงข่าว ณ ห้องราชดำเนิน ชั้น 2 อาคารราชรถสโมสร กระทรวงคมนาคม เขตพระนคร

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีอัตราการใช้รถยนต์บนท้องถนน การก่อสร้าง และโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก ฯลฯ ซึ่งเป็นสาเหตุในการเกิดมลพิษ ทางอากาศฝุ่น PM 2.5 โดยกรุงเทพมหานครได้จัดทำแผนลดฝุ่น 365 วัน ค่าฝุ่นไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม. และแผนบริหารจัดการฝุ่นระยะวิกฤติที่มีค่าฝุ่นตั้งแต่ 37.6 มคก./ลบ.ม. เพื่อการติดตามเฝ้าระวัง กำจัดต้นตอ ป้องกันประชาชน และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 แบบทุกมิติ พร้อมทั้งบูรณาการร่วมกับกรมขนส่งทางบก (ขบ.)​ ออกตรวจสอบวัดค่าควันดำรถบรรทุก ณ สถานประกอบการ ได้แก่ แพลนท์ปูน บริเวณไซต์งานก่อสร้าง สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ โรงงานอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพฯ


ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวด้วยว่า​ ปัญหาหลักมี​ 3 เรื่อง​ คือ​ 1.คุณภาพของรถยนต์ที่นำมาใช้ เช่น เครื่องยนต์รถดีเซล ซึ่งปล่อยฝุ่นละอองจำนวนมาก การที่เราตั้งจุดตรวจควันดำจะช่วยได้มาก รวมถึงการร่วมมือกับกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงาน ในการสร้างมาตรการรณรงค์หรือโครงการช่วยเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองอากาศรถบรรทุกให้บ่อยขึ้น ช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ​

2.การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ​ ซึ่ง กทม. จะสนับสนุนในเรื่องของรถ​ Feeder​ และพัฒนาคุณภาพของรถประจำทางเพื่อสิ่งแวดล้อม​ รวมถึงการพัฒนา​ Bus​ Lens ในถนนที่เหมาะสม​ เพื่อดึงดูดให้คนมาใช้บริการรถสาธารณะมากขึ้น​ 3.เรื่องของการควบคุมคุณภาพอากาศจากการก่อสร้างต่างๆ​ และควบคุมการก่อสร้างให้รวดเร็ว เพื่อเร่งคืนผิวการจราจร ลดการจราจรติดขัด​ ซึ่งการบูรณาการร่วมกันครั้งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะลดฝุ่น PM 2.5 ให้ประสบความสำเร็จ

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวต่อว่า​ กทม. มีแนวคิดที่จะแสดงให้เห็นว่า​ กทม. ให้ความสำคัญกับระบบขนส่งสาธารณะมากกว่าการใช้รถยนต์ส่วนตัว​ ด้วยการพัฒนารถประจำทางให้มีความพร้อมปลอดภัยและเชื่อมโยงในระดับเส้นเลือดฝอย เพื่อขนส่งประชาชนสู่ระบบขนส่งสาธารณะสายหลัก​ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ โดยเฉพาะบริเวณชานเมืองที่ต้องพัฒนา เนื่องจากปัจจุบันประชาชนพักอาศัยยามชานเมืองมากขึ้น​ นอกจากนี้ กทม. จะเป็นเสมือนผู้สำรวจเส้นทางใหม่ๆ​ ที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นแต่ยังขาดระบบขนส่งสาธารณะ​ โดยจะเข้าไปบุกเบิกนำร่องเส้นทางรถประจำทาง หรือรถ Feeder ซึ่งหากเส้นทางดังกล่าวผลตอบรับดี มีผู้ใช้งานมาก จะส่งต่อให้ผู้ประกอบการ​เอกชนที่สนใจดำเนินการต่อไป รวมถึงการสำรวจถนนที่สามารถจัดสร้าง​ Bus​ Lens ได้ รวมถึงเพิ่มความถี่และปรับปรุงคุณภาพของรถ MRT จะสามารถทำให้ขยายเส้นทางไปสู่ถนนสาทรได้ในอนาคต​


“ปัญหาฝุ่น PM 2.5​ เกี่ยวข้องถึงหลักเศรษฐศาสตร์​และปัญหาเชิงเศรษฐกิจ อาทิ​ การเปลี่ยนให้เป็นรถบรรทุกใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อม ก็จะกระทบผู้ประกอบการรายย่อย​ การเผาตอซังข้าวก็ต้นทุนถูกกว่าการจัดเก็บตอซังข้าว​ การใช้รถยนต์ส่วนตัวสะดวกสบายกว่าการใช้ระบบขนส่งสาธารณะหรือการเดินทางเท้า ดังนั้น โจทย์คือเราจะทำอย่างไรให้ประชาชนร่วมในมาตรการลด​ PM 2.5 โดยมีต้นทุนที่ถูกลง รวมถึงพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้สะดวกสบายปลอดภัยขึ้น” ผู้ว่าฯ​ ชัชชาติ​ กล่าวในตอนท้าย

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม และกรุงเทพมหานคร ได้บูรณาการร่วมกันในการเร่งรัดแก้ไขปัญหาและกำหนดมาตรการป้องกันและลดผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยความห่วงใยและใส่ใจในผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพของพี่น้องประชาชนรวมถึงเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดจัดทำนโยบายเชิงรุก ในการป้องกันและลดมลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม และกำหนดมาตรการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน รวมถึงติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและลดมลพิษจากฝุ่น PM 2.5​ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล​ ตรงตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล โดยมีมาตรการ​ อาทิ​

กรมการขนส่งทางบก ร่วมมือกับ​กรุงเทพมหานคร (กทม.) ตรวจวัดควันดำรถบรรทุก ณ สถานประกอบการ ได้แก่ แพลนท์ปูน บริเวณไซต์งานก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพฯ และจัดชุดเฉพาะกิจออกตรวจสอบสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ในกรุงเทพฯ ให้ครบทุกแห่ง (233 แห่ง) เพื่อให้การตรวจสภาพรถเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมร่วมมือกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตรวจสอบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร (หมวด 1) ณ อู่รถ ขสมก. ทั้ง 8 เขตการเดินรถ จำนวน 21 แห่ง นอกจากนี้จะร่วมมือกับบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ตรวจสอบรถโดยสารประจำทาง ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ หมอชิต รังสิต เอกมัย สายใต้ใหม่

ในส่วนของกรมการขนส่งทางบก ดำเนินมาตรการจัดชุดผู้ตรวจการออกตรวจสอบควันดำรถบรรทุกและรถโดยสารในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วและเฝ้าระวังในกรณีที่พบว่าในบางพื้นที่ที่มีค่า PM 2.5​ อยู่ในขั้นวิกฤติ จัดชุดเฉพาะกิจให้คำแนะนำเชิงรุกเพื่อป้องกันการปล่อยควันดำของรถโดยสารไม่ประจำทาง ณ สถานประกอบการ และดำเนินการการลดจำนวนรถบรรทุกและรถโดยสารเข้าเขตเมืองชั้นใน โดยให้บริการตรวจสภาพรถ ณ สถานีขนส่งสินค้าพุทธมณฑล คลองหลวง และร่มเกล้า

กำชับให้การขนส่งทางราง การรถไฟแห่งประเทศไทย และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ดำเนินการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้นด้วย เช่น นโยบายอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย สำหรับการก่อสร้างรถไฟฟ้าจะกำกับดูแลผู้รับเหมาให้คืนพื้นผิวจราจรโดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีการปล่อย PM 2.5 จากรถยนต์ ส่วนในพื้นที่ที่ยังคงมีการก่อสร้างให้มีการกำกับดูแลการดำเนินงานของผู้รับจ้าง โดยการให้ล้างทำความสะอาดถนน ทำความสะอาดล้อรถ และตรวจสอบเครื่องจักรให้มีสภาพที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะลดการปล่อย PM 2.5 ได้เช่นกัน​ และมอบหมายให้กรมทางหลวง บริหารจัดการจราจร ลดการติดขัด แก้ไขปัญหาจราจรติดขัดบริเวณพื้นที่ด่านเก็บค่าผ่านทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) เข้มงวดผู้รับเหมาฉีดน้ำรักษาความสะอาดในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองจากกิจกรรมก่อสร้าง จัดชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อดับไฟป่าและไฟไหม้สองข้างทางหลวง

ให้​ ขสมก. และ บขส. เข้มงวดการตรวจวัดค่าควันดำรถโดยสารทุกคันก่อนนำรถออกวิ่งให้บริการประชาชน และดำเนินการจัดหารถโดยสารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาให้บริการประชาชน​ ในส่วนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)​ แก้ปัญหาสภาพการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ในสถานที่ก่อสร้างขนาดใหญ่จัดให้มีมาตรการป้องกันฝุ่นละอองอย่างเคร่งครัดและติดตั้งเครื่องพ่นละอองน้ำแรงดันสูงที่สูงเพื่อลดฝุ่นหน้าด่านฯ​ โดยเครื่องจะทำงานอัตโนมัติเมื่อตรวจพบค่า​ PM 2.5 เกิน​ 37.5 มคก./ลบ.ม. และฉีดล้างทำความสะอาดบริเวณผิวจราจรและหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ

นอกจากนี้​จะกำชับให้ทุกหน่วยงานดูแลรักษารถราชการที่ใช้งานไม่ให้มีการปล่อยควันดำ โดยกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างเต็มที่ และให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมรายงานผลการปฏิบัติงานทุกๆ 15 วัน คือวันที่ 15 และ 30 ของทุกเดือน เพื่อให้ปัญหามลพิษจากการจราจรและขนส่งลดลงและบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีอากาศที่บริสุทธิ์ พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนในการบำรุงรักษารถของตนเองให้มีค่ามลพิษไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดด้วย

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม และกรุงเทพมหานคร ได้มีการประชุมเพื่อจัดทำนโยบายและมาตรการเพื่อป้องกันและลดมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากภาคคมนาคมขนส่ง เมื่อวันที่ 10 พ.ย.66 เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการป้องกันและลดมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ภายใต้การบูรณาการร่วมกันจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

Trump says he is seeking a ceasefire between Thailand, Cambodia

“ทรัมป์” โยงเรื่องการค้ากับหยุดยิงไทย-กัมพูชา

เอดินบะระ 27 ก.ค.-  ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ พูดคุยกับผู้นำของทางการไทยและกัมพูชา โดยโยงเรื่องการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐกับเรื่องหยุดยิงของทั้ง 2 ประเทศ ด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะผลักดันข้อเสนอหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ในระหว่างการเยือนสกอตแลนด์เมื่อวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ในทรูธโซเชียลที่เป็นสื่อสังคมออนไลน์ของเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ไทยและกัมพูชา 3 โพสต์ติดต่อกัน โพสต์แรกระบุว่า ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรี มาเนตกัมพูชาและนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษานายกรัฐมนตรีของไทย เรื่องการหยุดยิงและยุติสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ สหรัฐซึ่งกำลังหารือทางการค้ากับทั้ง 2 ประเทศอยู่ในขณะนี้ไม่ต้องการทำข้อตกลงกับประเทศใดประเทศหนึ่งหากยังมีการสู้รบกันอยู่ กัมพูชาจะแสดงท่าทีเรื่องหยุดยิงหลังจากที่เขาได้คำตอบจากไทยในเรื่องนี้ นายทรัมป์ระบุด้วยว่า สถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาทำให้เขานึกถึงสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างปากีสถานกับอินเดียที่ได้รับการยับยั้งเป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้นราว 1 ชั่วโมง ประธานาธิบดีทรัมได้โพสต์ข้อความใหม่ว่า ได้สนทนากับรักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย ฝ่ายไทยต้องการหยุดยิงและสันติภาพเช่นเดียวกับกัมพูชา และหลังจากนั้นไม่นานผู้นำสหรัฐโพสต์ข้อความที่ 3 ว่า เพิ่งเสร็จสิ้นการสนทนากับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและแจ้งเรื่องที่ได้หารือกับทางการไทย ทั้ง 2 ฝ่ายต้องการหยุดยิงและสันติภาพ และต้องการกลับมาเจรจาทางการค้ากับสหรัฐ โดยตกลงจะพบหารือและหาทางหยุดยิงโดยทันที ด้านนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซีย เปิดเผยกับสื่อที่เมืองปุตราจายาเมื่อวานนี้ว่า จะเดินหน้าผลักดันข้อเสนอหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งยังคงมีการยิงปะทะกันอยู่ เขาได้ขอให้รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซียประสานงานกับรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและกัมพูชา และหากเป็นไปได้ เขาจะเข้าไปประสานงานด้วยตัวเองเพื่อหยุดยั้งการสู้รบ รอยเตอร์รายงานว่า กัมพูชาสนับสนุนข้อเสนอของนายอันวาร์ ส่วนไทยระบุว่า เห็นชอบในหลักการ.-820(814).-สำนักข่าวไทย

โฆษก ทบ.ลั่น หยุดยิงไม่ได้ “กัมพูชา” เปิดฉากยิงทหารไทยแต่เช้าตรู่

กทม. 27 ก.ค.-โฆษก ทบ.ลั่น หยุดยิงไม่ได้ กัมพูชาโจมตีทหารไทยแต่เช้าตรู่ หลัง “ทรัมป์” ขอให้หยุดยิง พบบ้านเรือนประชาชนเสียหายจากจรวดBM-21 เมื่อวันที่ 27 ก.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หารือ นายกฯ กัมพูชา และนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ หากไม่หยุดยิงจะไม่เจรจาเรื่องภาษีสหรัฐนั้น ว่า กัมพูชายังไม่หยุดยิง และยังตอบโต้มาอยู่ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้ มีจรวดตกนอกเขตปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ เมื่อเวลา 04.30 น. ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงทหารไทย ด้วยเครื่องยิงจรวดบีเอ็ม-21 แต่ด้วยเป้าหมายของทางกัมพูชาไม่ใช่พื้นที่ทางทหาร แต่เป็นบ้านเรือนประชาชน รวมถึงสถานพยาบาล และชุมชน โดยเมื่อ เวลา 06.30 น. กระสุนปืนใหญ่ (ไม่ทราบชนิด) ตกบริเวณพื้นที่ บ้านตาโสร์ ม.10 ต.บ้านพลวง อ.ปราสาท จ.สรินทร์ […]

“ภูมิธรรม” เผยเห็นชอบข้อเสนอ “ทรัมป์” แต่กัมพูชาต้องจริงใจหยุดยิง

กรุงเทพฯ 27 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เผยคุย “ทรัมป์” เห็นชอบข้อเสนอหยุดยิง แต่ต้องการเห็นความตั้งใจจริงของกัมพูชาและเร่งหารือทวิภาคี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านfacebook Phumtham Wechayachai เมื่อคืนวานนี้ (27 ก.ค.) ว่า ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เสนอให้ประเทศไทยและกัมพูชาดำเนินการหยุดยิงโดยทันที เพื่อยุติความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นบริเวณชายแดน ฝ่ายไทยได้แสดงความขอบคุณต่อความห่วงใยและความปรารถนาดีจากสหรัฐฯ พร้อมยืนยันว่า “ในหลักการ ฝ่ายไทยเห็นชอบต่อการหยุดยิง” อย่างไรก็ดี ไทยยังต้องการเห็น “ความตั้งใจจริงของฝ่ายกัมพูชาในเรื่องดังกล่าว” ไทยจึงได้ขอให้สหรัฐฯ ช่วยถ่ายทอดจุดยืนนี้ไปยังกัมพูชา โดยเสนอให้มีการหารือแบบทวิภาคีโดยเร็วที่สุด และให้กัมพูชาแสดงความจริงจังและจริงใจ เพื่อกำหนดมาตรการและกระบวนการที่ชัดเจนในการหยุดยิง ซึ่งจะนำไปสู่การยุติข้อพิพาทอย่างสันติและยั่งยืนในระยะยาว การเจรจาดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามของนานาชาติในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา สำหรับข้อความที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Phumtham Wechayachai ระบุว่า “เมื่อครู่ที่ผ่านมา ผมได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้เสนอให้ประเทศไทยและกัมพูชาดำเนินการหยุดยิงโดยทันที ผมได้กล่าวขอบคุณต่อความห่วงใยและความปรารถนาดีของฝ่ายสหรัฐฯ และยืนยันว่า […]

ไทยตอนบน ยังมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ-อีสาน

กทม. 27 ก.ค.-กรมอุตุฯ เตือนไทยตอนบน ยังมีฝนตกหนักบางแห่ง และฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือและอีสาน ระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง และมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร และนครพนม ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน และอ่าวตังเกี๋ย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. […]