กรุงเทพฯ 4 พ.ย. – ผู้ว่าฯ กทม. เผย กทม. เฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 พบปัจจุบันยังไม่มีการเผาชีวมวลมาก แต่เป็นฝุ่นที่มาจากรถยนต์โดยตรง การต่อสู้กับ PM 2.5 ตอนนี้คือการลดการใช้รถยนต์ ใช้ขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยระหว่างกิจกรรมผู้ว่าฯ สัญจรเขตบึงกุ่ม ถึงเรื่องฝุ่น PM 2.5 ว่าจะเห็นได้ว่าปัจจุบันยังไม่มีการเผาชีวมวลมาก แต่เป็นฝุ่นที่มาจากรถยนต์โดยตรง เราวัดฝุ่นเป็นไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพราะฉะนั้นถ้าอากาศไม่ปิด อากาศปกติ อากาศเปิด ฝุ่นจากรถยนต์ในกรุงเทพฯ อยู่ประมาณ 20-30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะเป็นสีเขียวหรือเหลือง แต่พออากาศเริ่มปิดอย่างเช่นวันนี้อากาศเริ่มปิด ฝุ่นรถยนต์เหมือนเดิม แต่จะเพิ่มมาเป็นประมาณ 50-60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร คือเริ่มสีเหลือง สีส้ม ตามมาตรฐานใหม่ ส่วนอนาคตถ้าเกิดมีฝุ่นจากด้านนอกมา เช่น เผาชีวมวล บวกรถยนต์ บวกอากาศปิด ค่าฝุ่นจะเป็น 90-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวัง
ถามว่าตอนนี้ทำอย่างไรได้บ้าง กทม. มีเรื่องที่ดำเนินการอยู่ คือ ตรวจรถควันดำ และในช่วงที่ 2-3 วันผ่านมา มีการตรวจเพิ่มเติม คือลองตรวจรถที่ตรวจควันดำว่ายังปล่อย PM 2.5 อยู่หรือไม่ พบว่ายังปล่อยอยู่เป็นปริมาณมาก เพราะจริง ๆ แล้วการตรวจควันดำที่ใช้กระดาษกรองไปวัดค่าฝุ่น อาจจะเป็น PM 10 เป็นฝุ่น PM ขนาดใหญ่ รถธรรมดาก็ยังปล่อยฝุ่น PM 2.5 ออกมาอยู่
ดังนั้น หัวใจของการต่อสู้กับ PM 2.5 ตอนนี้คือการลดการใช้รถยนต์ ใช้ขนส่งสาธารณะให้มากขึ้น รวมทั้งอาจจะต้องใช้รถที่อาจจะมีคุณภาพที่ดี หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่ปล่อย PM 2.5 น้อยลง ซึ่งเป็นมาตรการที่ต้องหารือร่วมกับหลายภาคส่วน กทม. หน่วยงานเดียวคงไม่สามารถลดจำนวนรถยนต์ในกรุงเทพฯ ได้ ต้องร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพยายามลดการใช้รถยนต์ และใช้ขนส่งมวลชนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะลด PM 2.5 ในเบื้องต้นได้ ส่วนการเผาชีวมวล ในระยะยาวคงต้องร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ทั้งกระทรวงเกษตรฯ หรือกรมควบคุมมลพิษ ในการกำกับเรื่องการเผาชีวมวล
นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเพิ่มเติมว่า มิติสำคัญคือเรื่องของการป้องกันสุขภาพพี่น้องประชาชน ขณะนี้สำนักการศึกษาได้ทำการสำรวจมาแล้วว่าห้องเรียนอนุบาล 2 และอนุบาล 3 ทั้งหมด 1,700 ห้อง ติดตั้งแอร์แล้ว 800 ห้อง ซึ่งสำนักการศึกษาได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการซื้อเครื่องฟอกอากาศแล้ว โดยห้องที่มีแอร์ก็สามารถติดตั้งได้เลย เพื่อปกป้องสุขภาพสำหรับนักเรียน ส่วนสำนักอนามัยได้เตรียมพร้อมโดยลงพื้นที่ในเรื่องการให้ข้อมูลชุมชน แจกหน้ากากอนามัย สำนักการแพทย์เตรียมคลินิกปลอดฝุ่นใน 8 โรงพยาบาล เพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลสุขภาพอย่างเต็มที่.-สำนักข่าวไทย