กต.ประสาน 3 สายการบิน ช่วยอพยพคนไทย ตั้งเป้าวันละ 400 คน

กทม. 13 ต.ค.- กต.เตรียมส่งแรงงานไทย 100 คนกลับจากอิสราเอล 14 ต.ค. ถึงไทย 15 ต.ค. ที่อู่ตะเภา ประสาน 3 สายการบิน ช่วยอพยพคนไทยกลับ ตั้งเป้าให้ได้วันละ 400 คน


นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวสถานการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล ระบุว่า เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีเดินทางมาประชุม ย้ำเรื่องภารกิจการช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอลให้ถือเป็นภารกิจหลักของชาติที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด ขณะนี้ มีคนไทยในอิสราเอลลงทะเบียน แสดงความประสงค์อยากกลับไทย 6,778 ราย และมี 85 คนที่แสดงความประสงค์อยากอยู่ในอิสราเอลต่อ ซึ่งผู้ที่มีความประสงค์อยากจะเดินทางกลับ ทางสถานทูตไทยในอิสราเอล ได้จัดศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับคนไทยโดยจองโรงแรมแดน-พาโนราม่า เทลอาวีฟ(Dan Panorama Tel -Aviv ) จำนวน 100 ห้อง พักรอระหว่างรอเที่ยวบินกลับ

ส่วนความคืบหน้าของคนไทยที่อยู่ในพื้นที่อิสราเอล ข้อมูลล่าสุดขณะนี้ มีผู้เสียชีวิต 21 คน บาดเจ็บ 14 ราย และผู้ที่คาดว่าถูกจับตัวไป 16 ราย ซึ่งในกรณีของผู้ที่ถูกจับตัวไป เมื่อช่วงเช้า กต.ได้เชิญทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย มาพูดคุยหารือในเรื่องนี้ โดยนายกรัฐมนตรี ได้ย้ำถึงท่านทูตว่าขอให้ทางการอิสราเอลรีบเจรจาเพื่อที่จะนำตัวคนไทยออกมาจากพื้นที่จับกุมให้ได้โดยเร็วที่สุด เนื่องจากคนไทยที่อยู่ในอิสราเอลเป็นกลุ่มแรงงานที่ไม่ได้มีความขัดแย้งหรือเป็นคู่ขัดแย้งกับทางด้านของปาเลสไตน์


โดยเวลานี้ทางการอิสราเอลได้อพยพชาวต่างประเทศที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงอย่างฉนวนกาซ่าออกมาจากพื้นที่ได้แล้ว 99% ส่วนที่เหลือตอนนี้สถานทูตทั้งไทยและอิสราเอลได้มีการประสานงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะนำคนไทยที่เหลือออกมาจากพื้นที่ให้ได้โดยเร็วที่สุด

ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ฉนวนกาซา ณ เวลานี้ยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง มีการโจมตีด้วยจรวดและอาวุธสงคราม หลังจากนี้คาดว่าน่าจะมีปะทะกันอีกอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวานนี้สถานทูตอิสราเอล รายงานว่าพบแรงงานไทยจำนวน 2 รายที่หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ติดชายแดนฉนวนกาซา ซึ่งทั้งสองรายได้รับการช่วยเหลือ นำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งถ้าหากทั้งสองคนอาการดีขึ้นและมีความประสงค์อยากจะเดินทางกลับประเทศไทย ทางสถานทูตเตรียมที่จะอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

ส่วนในวันพรุ่งนี้ (14 ต.ค.) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จะจัดเที่ยวบินอพยพคนไทยครั้งที่ 3 นำแรงงานจำนวน 100 คนกลับประเทศไทย โดยสายการบิน Fly Dubai เที่ยวบิน FZ1550 ออกเดินทางจากอิสราเอลในวันที่ 14 ตุลาคมเวลา 11.00 น. เปลี่ยนเครื่องที่นครดูไบ เพื่อโดยสารต่อโดยเที่ยวบิน FZ1837 ออกจากนครดูไบ เวลา 20.00 น. และถึงไทยในวันที่ 15 ต.ค. เวลา 07.25 น. เครื่องจะลงที่สนามบินอู่ตะเภาแล้ว จะมีรถบัสรับจากอู่ตะเภาไปยังโรงแรม SC Park เพื่อให้ญาติพี่น้องรับกลับภูมิลำเนา โดยญาติพี่น้องของคนไทย 100 คน สามารถมาพบญาติที่เดินทางกลับไทยโดยเที่ยวบินดังกล่าว ที่ รร. SC Park ประมาณ 10.00 น. เป็นต้นไป


ส่วนในวันที่ 16 ตุลาคม สายการบินอิสราเอลแอร์ไลน์จะมีการจัดเที่ยวบินพิเศษเพื่อนำคนไทยในอิสราเอลกลับประเทศ โดยที่นั่งที่ประเมินไว้อยู่ที่ประมาณ 250 คน รายละเอียดตอนนี้รอการยืนยันอีครั้ง

ขณะที่เช้าวันนี้ได้มีการหารือกับสายการบินพาณิชย์ ประกอบด้วย การบินไทย นกแอร์ และแอร์เอเชีย เพื่อสนับสนุนภารกิจในการอพยพพี่น้องประชาชนคนไทยในอิสราเอลกลับมา ตั้งเป้าจากทุกช่องทางอพยพคนไทยให้ได้วันละ 400 คน ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อม โดยในรายละเอียดจะมีการแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้ง ส่วนความพร้อมของเส้นทางการบิน เมื่อวานนี้ (12 ต.ค.) ได้มีการพูดคุยไว้ว่าอาจจะมีการลำเลียงคนไทยจากอิสราเอลไปรอที่จอร์แดนแล้วอาจจะให้สายการบินไทย ไปรับกลับมายังประเทศไทย แต่รายละเอียดความชัดเจนเวลานี้ต้องรอการตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายอีกครั้ง ส่วนจะรวมกับเครื่องบินของกองทัพอากาศด้วยหรือไม่ ตรงนี้ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะต้องดูความเหมาะสม และปรับเปลี่ยนตามหน้างานเป็นหลัก

ส่วนระยะเวลาในการที่จะวางแผนไว้ว่าจะขนคนออกมาให้หมดตามที่ลงทะเบียนไว้ เรื่องนี้ตอบค่อนข้างยากแม้ว่าความคาดหวังที่จะขนคนไทยกลับมาวันละ 400 คนแต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ อาจจะมีปัจจัยอื่นๆ และทำให้มีการเปลี่ยนใจในภายหลังด้วย แต่ยืนยันว่าจะขนคนไทยกลับมายังประเทศไทยให้ได้เร็วที่สุดและมากที่สุด

ทั้งนี้ความต้องการแรกของกระทรวงต่างประเทศ คือ การอพยพคนไทยด้วยกันบินตรงจากอิสราเอลสู่ไทย แต่ถ้าหากไม่สามารถ ก็ได้มีการประสานติดต่อกับประเทศอื่นๆ เพื่อจะนำคนไทยไปพักรอเที่ยวบินที่จะกลับมารับเบื้องต้น ตอนนี้ก็จะมีอียิปต์ จอร์แดน และดูไบ

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นในโลกออนไลน์ที่มีการพูดถึงว่ามีนายจ้างชาวอิสราเอลยังคงบังคับให้คนไทยออกไปทำงานอยู่ในช่วงภาวะสงคราม ได้มีการประสานกับทางสถานทูตอิสราเอล พบว่าเป็นความเข้าใจผิด เป็นการย้ายพื้นที่ทำงานไปอยู่ในที่ปลอดภัย ไม่ใช่เป็นการบังคับขู่เข็ญให้ออกไปทำงาน ซึ่งได้ประสานไปยังนายจ้างและลูกจ้างที่เป็นคนไทยให้เข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนอีกความกังวลของบรรดาญาติพี่น้องที่อยู่ในประเทศไทยโดยเฉพาะญาติของผู้ที่เสียชีวิต มีความกังวลเรื่องของการพิสูจน์อัตลักษณ์ตอนนี้ได้มีการพูดคุยกับทางการอิสราเอลทราบข้อมูลว่าการพิสูจน์อัตลักษณ์ ณ เวลานี้ค่อนข้างทำได้ยาก เพราะภารกิจหลักที่ทำอยู่ตอนนี้คือการนำร่างของผู้เสียชีวิตออกมาจากพื้นที่ก่อน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เตือนตะวันออก-ใต้ฝั่งตะวันตก ฝนตกหนักบางแห่ง

กรุงเทพฯ 15 ส.ค. – กรมอุตุฯ เผยภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณ จ.หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 60% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบน […]

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]