กรุงเทพฯ 27 ก.ย. – นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร เข้าพบนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย ประสานความร่วมมือ 4 ด้านร่วมกัน พร้อมสางปมรถไฟฟ้าสายสีเขียว
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยหลังการเข้าพบนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่า วันนี้ได้ถือโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะท่านเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานของกรุงเทพมหานคร และเป็นการเข้าแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ จริง ๆ แล้วตนและท่านรัฐมนตรีช่วยฯ มีความคุ้นเคยกันมานานแล้ว เพราะท่านก็ดูแลพื้นที่อุบลราชธานีอย่างเข้มแข็ง อีกทั้งตอนที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เคยประสานงานกันในเรื่องต่าง ๆ วันนี้จึงรู้สึกดีใจที่ท่านได้มากำกับดูแล กทม. และ กทม.ก็พร้อมจะร่วมมือทุกอย่าง ทั้งเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว การบำบัดน้ำเสีย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับ กทม.โดยตรง เพราะเราก็มีการบำบัดน้ำเสียเพิ่มขึ้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน เนื่องจาก กทม.ก็ต้องมีการดำเนินงานร่วมกับ ปภ. เช่น กรณีน้ำท่วมที่ต้องมีการเยียวยาบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหาย เป็นต้น ดังนั้น กทม.ก็พร้อมร่วมมือการทำงานเพื่อประโยชน์ของคน กทม.
ด้านนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้ทำงานร่วมกับผู้ว่าฯ ชัชชาติ และพร้อมช่วยเหลือและสนับสนุนงานด้านต่าง ๆ ของ กทม.
นายชัชชาติ กล่าวยังถึงประเด็น “รถไฟฟ้าสายสีเขียว” ว่า ขณะนี้ทางกระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างรอคำตอบจาก กทม. ในรายละเอียดการสรุปภาระหนี้และรูปแบบดำเนินการ
ในสัปดาห์หน้า สภากรุงเทพมหานครจะมีการสรุปแนวทางการแก้ปัญหา และจะนำเรื่องเข้าสู่กระทรวงมหาดไทยต่อไป เนื่องจากตาม ม.44 ต้องให้มหาดไทยเป็นผู้เสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรี แต่หากจะให้แยกหนี้ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหนี้ค่าจ้างการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ (E&M) จากส่วนหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ซึ่งข้อดีของ E&M คือ หากนำมาเป็นของเราได้จะทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็ต้องรอทางสภา กทม. อีกครั้งหนึ่ง
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวต่อไปว่า เงินที่จะนำมาจ่ายค่า E&M เราไม่สามารถนำเงินฝ่ายบริหารมาจ่ายได้ ต้องเป็นเงินสะสมจ่ายขาด หรือการทำสัญญาต่าง ๆ หากมีความผูกพันเรื่องหนี้ สภาฯ ต้องเป็นผู้อนุมัติ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่คณะกรรมการศึกษาล่วงหน้าไปก่อน จากนั้นเมื่อเข้าใจดีแล้ว การนำเข้าสภาฯ ก็จะง่ายขึ้น ในส่วนความยากง่ายในการดำเนินการ คิดว่าหากมีแนวทางขั้นตอนที่ชัดเจนก็ไม่ยาก และรัฐบาลก็คงจะเร่งรัดในเรื่องนี้มากขึ้นด้วย.-สำนักข่าวไทย