กรุงเทพฯ 13 ก.พ.- นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ วิเคราะห์บทเรียนและแนวทางแก้ปัญหาจากเหตุอาคารถล่มซ้ำซาก หลังเกิดเหตุอาคารย่านพระราม 9 ทรุดตัววานนี้ ชี้โครงสร้างเป็นระบบพื้นไร้คาน สัษนิษฐานสาเหตุพังถล่มอาจเกิดจาก 7 ปัจจัย แนะ 4 แนวทางป้องกันเหตุ
ศ.ดร.อมร พิมานมาศ ศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย วิเคราะห์บทเรียนทางวิศวกรรมและแนวทางแก้ปัญหาจากเหตุอาคารถล่มซ้ำซาก จากเหตุการณ์อาคาร 5 ชั้น ถล่มระหว่างก่อสร้างชั้นดาดฟ้า (ชั้นที่ 5) ของอาคาร ย่านพระราม 9 จนทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายรายเมื่อวันที่ 12 ก.พ.2566 อาคารหรือโครงสร้างถล่มระหว่างก่อสร้างไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก แต่เคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง จนเรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่ซ้ำซาก เช่น การพังถล่มของนั่งร้านก่อสร้างโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแถวถนนพระราม 4 ในเดือน ก.พ.2565 หรือชิ้นส่วนสะพานกลับรถถนนพระราม 2 หล่นลงมาในเดือน ก.ค.2565 ซึ่งมีทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
สำหรับเหตุการณ์อาคาร 5 ชั้นล่าสุดนี้ สังเกตจากการก่อสร้างอาคารข้างเคียงในโครงการเดียวกันพบว่า ระบบโครงสร้างอาคารเป็นพื้นไร้คาน ซึ่งจุดอ่อนของโครงสร้างระบบนี้มักอยู่ตรงที่ข้อต่อระหว่างพื้นกับเสา สังเกตได้จากการพังถล่มที่เกิดขึ้น พื้นหลุดแยกจากเสา แล้วถล่มลงมากองข้างล่าง การพังถล่มเกิดขึ้นในระหว่างที่เทคอนกรีตชั้นที่ 5 จึงมีข้อสันนิษฐานสาเหตุทางวิศวกรรมได้หลายปัจจัย (ยังไม่ใช่ข้อสรุป) เช่น
1.จำนวนนั่งร้านและค้ำยันไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักคอนกรีตได้
2.การติดตั้งหรือประกอบค้ำยันไม่ครบทุกชิ้นส่วนหรือไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน
3.ประเภทของค้ำยันไม่เหมาะสมต่อการรับน้ำหนักคอนกรีต
4.ฐานรองรับค้ำยัน (พื้นที่อยู่ชั้นถัดลงไป) ยังไม่แข็งแรง หรือยังไม่ได้อายุ
5.การเทคอนกรีตกระจุกตัว คนงานเกลี่ยกระจายน้ำหนักคอนกรีตไม่ทัน
6.ขั้นตอนการก่อสร้างถูกต้องตามแบบหรือการก่อสร้างลัดขั้นตอนหรือไม่
7.การออกแบบและการใช้วัสดุที่เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่
ดังนั้น สาเหตุที่ทำให้อาคารถล่มจะเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลายสาเหตุร่วมกัน จะต้องรวบรวมข้อมูลหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป
ในทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การออกแบบและการก่อสร้างอาคารที่สูง 5 ชั้น เข้าข่ายเป็นวิศวกรรมควบคุม จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 และกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพวิศวกรรมและวิขาชีพวิศวกรรมควบคุม พ.ศ.2565 ซึ่งกำหนดว่า สำหรับการก่อสร้างอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไป หรือโครงสร้างของอาคารที่ชั้นหนึ่งชั้นใดมีความสูงตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป หรืออาคารที่มีช่วงคานตั้งแต่ 5 เมตรขึ้นไป จะต้องมีวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาตจากสภาวิศวกรมาทำการออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง โดยวิศวกรออกแบบจะต้องได้รับใบอนุญาตระดับสามัญวิศวกรขึ้นไป และวิศวกรคุมงานจะต้องได้รับใบอนุญาตระดับภาคีวิศวกรขึ้นไป หากวิศวกรละเลยในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักวิชาการก็อาจมีความผิดทางจรรยาบรรณ และอาจได้รับโทษสูงสุดคือเพิกถอนใบอนุญาต นอกเหนือการได้รับโทษทางแพ่งและอาญา
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหา จริงๆ แล้วการก่อสร้างย่อมมีมาตรฐานในทำงาน และการก่อสร้างอาคาร 5 ชั้น ในระบบพื้นไร้คาน ก็ไม่ได้ถือว่าซับซ้อนมาก และที่ผ่านมามีการก่อสร้างอาคารลักษณะนี้มาแล้วเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ โดย 1.วิศวกรที่เกี่ยวข้องจะต้องบังคับใช้มาตรฐานทางวิศวกรรมอย่างเคร่งครัด 2.ผู้ประกอบการจะต้องจัดหาทรัพยากร เช่น นั่งร้าน และค้ำยันให้เพียงพอ และควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก 3.หน่วยงานภาครัฐจะต้องตรวจตราหรือจัดนายตรวจสุ่มตรวจสถานที่ก่อสร้างที่เสี่ยงจะไม่ปลอดภัยและสั่งระงับการก่อสร้างหากตรวจพบ 4.องค์กรทางวิชาชีพ จะต้องกำกับการทำงานของวิศวกร และดำเนินการทางจรรยาบรรณแก่ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักวิชาชีพหรือละเลยต่อการทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด.-สำนักข่าวไทย