อภ.7 ก.ย.- วันแรก อภ.จำหน่ายยาฟาวิพิราเวียร์ในร้านขายยา อภ. เข้มตรวจสอบใบสั่งยาจากแพทย์ เพื่อใช้เป็นกลไลในการตรวจสอบ พร้อมเผยยาฟาวิฯ ตอนนี้มีรวม 2.5 ล้านเม็ด คาดสิ้น ก.ย.ผลิตยาเพิ่มได้อีก 3 ล้านเม็ด ส่วนโมลนูพิราเวียร์คาดสิ้นปีนี้ผลิตได้ และวางจำหน่ายในร้านขายยาของ อภ.
วันแรกที่ร้านขายยา อภ.เปิดจำหน่ายยาต้านไวรัสโควิด-19 ยังมีประชาชนมาสอบถามหายาต้านไวรัส แต่เงื่อนไขของการซื้อต้องแสดงใบสั่งจากแพทย์ ซึ่งภญ. ปาริชาติ แคล้วปลอดทุกข์ ผู้เชี่ยวชาญ 10 องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า วันนี้ร้านขายยาขององค์การเภสัชกรรมวางจำหน่ายต้านไวรัสโควิด-19 ฟาวิพิราเวียร์ ขนาด 200 มิลลิกรัม 1 ขวด บรรจุ 50 เม็ด ราคา 775 บาท ตกเม็ดละ 15.50 บาท ซึ่งไขหลักของการซื้อยา คนไข้ต้องแสดงเอกสารรายละเอียดของใบสั่งยาจากแพทย์ ที่มีการระบุรายละเอียดตั้งแต่อาการป่วย, สถานที่ของสถานพยาบาล, ชื่อที่อยู่คนไข้, เลขประจำตัวผู้ป่วย, ชื่อแพทย์ที่ให้การรักษาและเลขใบประกอบวิชาโรคศิลปะของแพทย์ เมื่อแสดงครบจึงจะมีการจ่ายยาให้
ทั้งนี้ รายละเอียดดังกล่าวจะส่งผลให้องค์การเภสัชกรรมสามารถเช็กต้นทางกับสถานพยาบาล ว่าผู้ป่วยมีการไปรับการรักษาและสมควรได้รับยาจริงหรือไม่ เพื่อเป็นการติดตามผลข้างเคียงจากการใช้ยา
ภญ.ปาริชาติ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันการป่วยโควิด-19 ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสอีกต่อไปในกรณีป่วยไม่มาก แต่การสำรองยาก็ยังคงต้องทำตามปกติ แต่จะเน้นให้สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อมิให้ยาล้นสตอก โดยปัจจุบันยาฟาวิพิราเวียร์มีกำลังการผลิตเบื้องต้น 2,500,000 เม็ดหรือคิดเป็น 50,000 ขวด และในสิ้นเดือนกันยายนนี้คาดว่าองค์การเภสัชกรรมจะสามารถผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้เพิ่มอีก 3,000,000 เม็ด หรือคิดเป็น 60,000 ขวด ทำให้มีเพียงพอกับการใช้ในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19
สำหรับเกณฑ์การจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์นั้น จะอิงตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ โดยคนปกติที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 45-90 กิโลกรัม จะได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ขนาด 200 มิลลิกรัม แต่หากมีน้ำหนักเกินก็จะต้องได้รับจำนวนยามากกว่านี้ โดยวันแรกของการรับประทานยาจะต้องทานยารวมทั้งสิ้น 9 เม็ดตอนเช้า และตอนเย็นอีก 9 เม็ด จากนั้นทานยาต่อเนื่อง อีก 4 วัน วันละ 4 เม็ด เช้าและเย็น และในวันพรุ่งนี้เตรียมกระจายจาไปในร้ายขายยาทั้ง 7 สาขาของ อภ.
ภญ.ปาริชาติ กล่าวว่า ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์นั้น องค์การเภสัชกรรมคาดว่า จะมีการผลิตแล้วเสร็จในสิ้นปีนี้ แต่ยังไม่สามารถระบุสัดส่วนหรือกำลังการผลิตได้อย่างชัดเจน เนื่องจากต้องรอสถานการณ์และความเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหายาค้างเกินสตอก อีกทั้งยาดังกล่าวยังเป็นยาที่ใช้ในภาวะฉุกเฉิน.-สำนักข่าวไทย