กรุงเทพฯ 22 ส.ค. – ประชุม APEC สุขภาพวันแรก หารือเชิงนโยบาย “Smart Families” รับมืออัตราเกิดน้อย ทำแรงงานลดลง กระทบเศรษฐกิจระยะยาว
ดร.สาธิต ปีตุเตซะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมข้อหารือเชิงนโยบายประเด็น “ครอบครัวคุณภาพ (Smart Families)” ในการประชุม APEC Health Week ซึ่งจัดขึ้นวันนี้เป็นวันแรก พร้อมระบุว่าปัจจุบันในสมาชิกเอเปคทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ พบว่ามีถึง 17 เขตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างประชากร มีอัตราการเกิดน้อยลง จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งไทยเองก็กำลังเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน ปัจจุบันมีประชากรราว 66 ล้านคน เข้าสู่สังคมสูงอายุเรียบร้อยแล้ว และกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ในไม่ช้า มีอัตราการเจริญพันธุ์รวม 1.24 ปี 2563 ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทน ทั้งที่อัตราการเจริญพันธุ์รวมควรอยู่ที่ประมาณ 1.6 โดยขณะนี้ไทยมีเด็กแรกเกิดลดลงทุกปี จากปี 2560 เด็กเกิดราว 7 แสนคน ในปี 2564 ลดเหลือ 5.4 แสนคน จำนวนการเกิดลดลงเรื่อย ๆ จนใกล้เคียงจำนวนการตาย หากไม่ทำอะไรเลยการเกิดจะน้อยกว่าการตาย ประชากรไทยอาจจะลดลงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ประชากรวัยทำงานที่ต้องอุ้มชูดูแลทั้งสังคมวัยเด็ก และวัยสูงอายุ มีจำนวนลดลงและแบกรับภาระมากขึ้น โดยคาดว่า 40 ปีข้างหน้าวัยทำงานลดลง 15 ล้านคน มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 12 ล้านคน ทำให้กระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเงินการคลังของประเทศ
การประชุมในวันนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคได้มาแลกเปลี่ยนสถานการณ์และหารือสร้างฉันทามติเพื่อจัดการแก้ไขปัญหานี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนครอบครัว ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา องค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชนของแต่ละเขตเศรษฐกิจเอเปคเข้าร่วม เช่น แนวทางการวางแผนการเจริญพันธุ์สำหรับบุคคลและครอบครัวที่ต้องการมีบุตรและหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น โดยประเทศไทยมีการนำเสนอเรื่องของโครงการครอบครัวคุณภาพ Smart Families ทำให้ครอบครัวมีคุณภาพ เช่น การส่งเสริมให้คู่สมรสลาคลอดได้ด้วย การต้องช่วยกันเลี้ยงลูก และการเข้าถึงสิทธิการวางแผนครอบครัว โดยมี สปสช. เข้ามาช่วยซัพพอร์ต ฯลฯ
ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า นโยบายด้านประชากรของไทยแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงแรกการส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น สมัยช่วงรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ทำให้ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้นจาก 14.5 ล้านคน ในปี 2480 เป็น 26.3 ล้านคน ในปี 2503 ช่วงที่สอง การส่งเสริมการวางแผนครอบครัว หลังจากที่ประเทศไทยมีการเกิดมากขึ้น เพื่อลดการเพิ่มของประชากร โดยประกาศนโยบายครั้งแรกเมื่อ
ปี 2513 ซึ่งพัฒนาเป็นโครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ ที่ประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากนานาชาติ โดยอัตราคุมกำเนิดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14 เป็นร้อยละ 72 และช่วงที่สามคือปัจจุบันที่จำนวนและโครงสร้างประชากรมีความชับช้อนกว่าในอดีต ถือเป็นความท้าทายต่อนโยบายประชากรครั้งใหม่ เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์รวมของไทยลดลงอย่างมาก มีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ทั้งการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น การตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ และการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย โดยขณะนี้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำที่สุดในโลก จากข้อมูล World Population Prospect 2022 พบว่าในปี 2564 มีเพียง 20 ประเทศเท่านั้นที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำกว่าประเทศไทย
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์นี้โดยจัดทำเรื่องครอบครัวคุณภาพ Smart Families มีการออกกฎหมายและนโยบายต่าง ๆ คือ นโยบายและยุทธศาสตร์อนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 เพื่อส่งเสริมการเกิดที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ และส่งเสริมการดูแลเลี้ยงดูเด็กที่เกิดมาให้เติบโตได้เต็มศักยภาพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป มีการออก พ.ร.บ.ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เพื่อบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านรูปแบบของคณะกรรมการ ทำให้สามารถลดอัตราการคลอดในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ลงได้ครึ่งหนึ่งก่อน 10 ปี และตั้งเป้าหมายจะลดอัตราคลอดในวัยรุ่นภายในปี 2570 ให้เหลือไม่เกิน 1.5 ต่อพันประชากร อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการหลุดจากระบบการศึกษา มีการจัดสวัสดิการต่างๆ ในการช่วยเหลือแม่วัยรุ่นด้วย
นอกจากนี้ในการประชุม APEC Health Week ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง 22-26 ส.ค.นี้ ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ ยังมีการนำเสนอนิทรรศการนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ล้ำสมัย และเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อผู้มารับบริการและบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย โดยจะเริ่มจัดแสดงตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (23 ส.ค.) เป็นต้นไป เช่น นวัตกรรมตรวจคัดกรองโควิด-19 จากลมหายใจ ไม่ต้องแยงจมูกหรือเจาะเลือด และใช้น้ำลาย โดยเป็นการวิเคราะห์ลมหายใจเพื่อจำแนกกลิ่นที่แตกต่างกันของคนติดเชื้อกับคนไม่ติดเชื้อ รู้ผลไวภายใน 5 นาที มีค่าใช้จ่ายในการตรวจไม่เกิน 10 บาท/คน เครื่องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดจากอะซิโตนในลมหายใจ การพิมพ์สามมิติเพื่อช่วยการรักษาทางการแพทย์ ช่วยทำให้กำหนดตำแหน่งเพื่อผ่าตัดหรือฉายแสงมะเร็งมีความแม่นยำขึ้น และการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อวินิจฉัยการตีบของหลอดเลือดหัวใจจากภาพถ่ายสแกนภาวะเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ฯลฯ. -สำนักข่าวไทย