13 มิ.ย. – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ คณะเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ อุปทูตรักษาการ รักษาการกงสุลใหญ่ไทย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ เฝ้าฯ


วันนี้ (13 มิ.ย.68) เวลา 18.26 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ อุปทูตรักษาการ และรักษาการกงสุลใหญ่ไทย พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในโอกาสที่กระทรวงการต่างประเทศ จัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ที่ประจำการในต่างประเทศทั่วโลก ระหว่างวันที่ 8-14 มิถุนายน 2568 ภายใต้หัวข้อหลัก ได้แก่ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน จากนโยบายสู่การปฏิบัติ” เพื่อให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ ที่ปฏิบัติราชการอยู่ ณ 98 สำนักงาน ใน 65 ประเทศทั่วโลก ได้รับทราบทิศทางนโยบายต่างประเทศที่สำคัญของรัฐบาล ภายใต้บริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงและผันผวนอย่างมาก และหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และแนวทางการนำทีมประเทศไทยในประเทศที่ประจำการ ขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ยังผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชนที่สำคัญในทุกมิติ นอกจากนี้ เนื่องในโอกาสครบ 150 ปี ของการสถาปนากระทรวงการต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมกันทบทวนและหารือเกี่ยวกับทิศทางและจุดยืนทางการทูตไทยให้สอดคล้องกับจุดแข็งของประเทศ ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ภายใต้บริบทและสภาวการณ์ในโลกปัจจุบัน เพื่อเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนการทูตไทยสู่อนาคตสืบไป

โอกาสนี้ พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทย เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ ความว่า
“ข้าพเจ้ามีความยินดี ที่ได้ต้อนรับท่านทั้งหลาย ผู้เป็นเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ของไทย ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทุกท่านได้ร่วมประชุมสัมมนากัน และรับนโยบายจากรัฐบาลแล้ว ต่อไปก็จะต้องนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ในการปฏิบัตินั้น มีสิ่งที่ต้องคำนึงหลายประการ ซึ่งท่านคงจะได้นำไปพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบ ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่แต่ละคนมีอยู่ แต่สิ่งสำคัญ คือ จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการตระหนักถึงหน้าที่ ในฐานะที่เป็น “ผู้แทน” หรือ “ตัวแทน” ทั้งตัวแทนของพระมหากษัตริย์ ตัวแทนของประเทศ และตัวแทนของประชาชนชาวไทย ที่จะไปเสริมสร้างความเป็นมิตรไมตรีกับประเทศต่าง ๆ และรักษาผลประโยชน์ของชาติไปด้วยพร้อมกัน

สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งของไทยและของโลก เปลี่ยนแปลงก้าวหน้ามาโดยตลอด และบางช่วงก็ผันผวนแปรปรวนมาก คือสามารถแปรเปลี่ยนพลิกผันได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ท่านจึงต้องปฏิบัติงานอย่างทันท่วงที และระมัดระวังอย่างมาก ดังที่ท่านได้รายงานให้ทราบเมื่อครู่นี้ว่า จะปฏิบัติด้วยความ “รู้เขา รู้เรา” นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญ การรู้ท่าทีของประเทศนั้น ๆ ที่มีต่อสถานการณ์ต่าง ๆ และรู้จุดยืนของประเทศเราที่มีต่อสถานการณ์นั้น ย่อมช่วยให้เรารู้ว่า จะต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถเสริมสร้างความเข้าใจกันได้ เมื่อรู้และปฏิบัติได้ถูกต้องเหมาะสม ท่านก็จะสามารถทำหน้าที่ของทูต ในการพิทักษ์รักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยได้อย่างแท้จริง ขออำนวยพรให้ทุกท่าน มีความสุขความเจริญในชีวิต และมีความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ทุกประการ”
ต่อมา เวลา 18.54 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ คณะบุคคลต่าง ๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ดังนี้




- นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ๑๔ มกราคม ๒๕๖๘ พร้อมกล่องไม้มะค่า แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กระทรวงการคลังจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก และเหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ๑๔ มกราคม ๒๕๖๘ โดยจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก จำนวน ๖ ชนิด ประกอบด้วย เหรียญทองคำ ความบริสุทธิ์ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ประเภทขัดเงา เหรียญทองคำ ความบริสุทธิ์ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ประเภทธรรมดา เหรียญเงิน ความบริสุทธิ์ ๙๒.๕ เปอร์เซ็นต์ ประเภทขัดเงา เหรียญเงิน ความบริสุทธิ์ ๙๒.๕ เปอร์เซ็นต์ ประเภทธรรมดา เหรียญโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ประเภทขัดเงา และเหรียญโลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ประเภทธรรมดา กับจัดทำเหรียญที่ระลึก จำนวน ๒ ชนิด ประกอบด้วย เหรียญทองแดงรมดำพ่นทรายพิเศษ ความบริสุทธิ์ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๗๐ มิลลิเมตร และเหรียญทองแดงรมดำพ่นทรายพิเศษ ความบริสุทธิ์ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๐ มิลลิเมตร

- ศาสตราจารย์เกียรติคุณยงยุทธ ยุทธวงศ์ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นำคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยฯ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล พร้อมครุยวิทยฐานะ และหุ่นจำลองเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง “เอฟ ห้าอี” (F-5E) บรรจุในกล่องอะคริลิกใส แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาภาษาศาสตร์ประยุกต์ พร้อมครุยวิทยฐานะ และผ้าซิ่นไทยวน (ไท-ยวน) บรรจุในกล่องผ้าไหมสีม่วง แด่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี


ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาสามารถในด้านวิศวกรรมการบินและอากาศยาน ทรงมีชั่วโมงการบินหลายพันชั่วโมง แสดงให้เห็นถึงความชำนาญ ความเชี่ยวชาญอันเป็นเลิศในวิทยาการการบิน ทั้งอากาศยานทหารและอากาศยานพาณิชย์ ทรงปฏิบัติหน้าที่ครูการบินพระราชทาน ทรงถ่ายทอดวิทยาการฝึกสอน ทั้งภาควิชาการและภาคปฏิบัติ โดยพระปรีชาสามารถเป็นที่ประจักษ์ชัด เมื่อครั้งทรงปฏิบัติหน้าที่นักบินที่ ๑ ทรงขับเครื่องบินพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง ทั้งเที่ยวไปและกลับ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติพาโร ราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งท่าอากาศยานพาโร นับเป็นท่าอากาศยานที่มีความยากในการนำเครื่องขึ้นและลงจอดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งยังทรงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการเรียนการสอนทางวิศวกรรมศาสตร์ โดยทรงรับกองทุนเพื่อการศึกษาและวิจัยทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ และโครงการเหรียญรางวัลเรียนดี ของนิสิต นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ นอกจากนี้ ยังทรงพระปรีชาสามารถในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมมาประยุกต์ใช้ในพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ราษฎรและประเทศชาติเป็นอเนกอนันต์

สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยพระวิริยอุตสาหะ ทั้งด้านการทหาร การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และการต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงพระปรีชาสามารถด้านภาษาและการสื่อสาร ทรงใช้ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสอย่างแตกฉาน ทั้งยังทรงใช้ประกอบในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจสำคัญต่าง ๆ ที่โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปทรงเยือนต่างประเทศ ทรงรับประมุขและผู้นำประเทศต่าง ๆ และพระราชทานพระราชวโรกาสให้บุคคลสำคัญและทูตานุทูตต่างประเทศ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท อีกทั้งยังทรงดำรงพระองค์เป็นทูตทางภาษาและวัฒนธรรมไทยในเวทีโลก โดยทรงมีพระราชดำรัส ทรงกล่าวสุนทรพจน์ เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในเวทีการประชุมต่าง ๆ เป็นที่ประจักษ์ชัดถึงพระปรีชาสามารถทางด้านภาษาและการสื่อสาร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการอนุรักษ์และจรรโลงภาษาไทย สร้างความภาคภูมิใจแก่ประชาชนชาวไทยทั้งปวง.-211-สำนักข่าวไทย
