ชลบุรี 9 ส.ค. – “เสี่ยบี” พร้อมภรรยา เปิดใจครั้งแรก เผยตั้งแต่วันแรก ไม่ได้หนีไปไหน อยู่ในที่เกิดเหตุช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ภาพยังติดตา ทำใจไม่ได้ ยอมรับอยากบวช แต่หากไปบวชก็กลัวถูกสังคมกล่าวหาว่าหนี
นายพงศ์ศิริ ปั้นประสงค์ หรือเสี่ยบี เจ้าของ MOUNTAIN B พร้อมภรรยา ตั้งโต๊ะเปิดใจครั้งแรก และได้ชี้แจงทุกประเด็นข้อสงสัย เสี่ยบี บอกว่า ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ ไม่ได้หลบหนีไปไหน อยู่ในที่เกิดเหตุกับภรรยา ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและประสานเจ้าหน้าที่เข้าช่วยดับไฟ ก่อนแจ้งกู้ภัยลำเลียงคนเจ็บส่งโรงพยาบาล และหลังจากนั้นตำรวจก็คุมตัวไปสอบปากคำ จึงไม่มีโอกาสออกมาชี้แจง ซึ่งนับตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงวันนี้ ภาพในเหตุการณ์ยังติดตาและไม่สามารถทำใจได้ และยังได้คุยกับภรรยาตั้งแต่เห็นคนเจ็บ คนตาย ว่า อยากฆ่าตัวตายตามผู้เสียชีวิต เพราะไม่รู้ว่าจะรับผิดชอบจากเหตุการณ์นี้ยังไง และยังคิดจะไปบวช แต่หากไปบวชก็กลัวจะถูกสังคมกล่าวหาว่า หนีไปบวชอีก จึงดำเนินการตามกฎหมายและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทุกคนก่อน
ส่วนประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่า ตนกับภรรยาอายุน้อย อาจไม่ใช่เจ้าของผับตัวจริงนั้น ยืนยันว่า เป็นเจ้าของกิจการจริงและเป็นเจ้าของเงินทั้งหมด ไม่มีหุ้นส่วนหรือนอมินีอื่นแน่นอน
ด้าน ภรรยาเสี่ยบี ชี้แจงเพิ่มเติมเรื่องประตูทางเข้าว่า จะเป็นหน้าที่ของการ์ดในร้านดูแลและถือกุญแจ ซึ่งการ์ดในร้านจะมีด้วยกันทั้งหมด 8 คน แบ่งกันดูแลประตูเข้าออก 3 ทาง คือ ด้านหน้าร้าน ด้านข้าง และด้านหลัง ที่ผ่านมาประตูทั้งหมดช่วงเปิดร้านจะไม่มีการล็อกประตู ซึ่งในวันเกิดเหตุก็ยังไม่รู้ว่าประตูล็อกหรือเปิดอยู่ แต่ประตูทั้งหมดจะล็อกตอนปิดร้านพร้อมกันทุกบาน
ส่วนเรื่องวัสดุอุปกรณ์และเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนเปิดร้านพนักงานจะตรวจเช็กอย่างละเอียดอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุ 3 วัน ไฟมูฟวิ่งเฮด หรือไฟเทค น็อตหลุดและตกลงมาใส่หัวลูกค้า จากนั้น ได้เรียกช่างมาซ่อมแซม ส่วนเรื่องการขอใบอนุญาต ทางร้านแจ้งขอเปิดเป็นร้านอาหารและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเริ่มแรกเปิดเป็นร้านนั่งชิวอยู่ติดถนนสุขุมวิท ก่อนถูกชาวบ้านร้องเรียนเรื่องเสียงดัง จึงไปขอนายทุนเช่าที่ด้านหลังร้านนั่งชิล เพื่อสร้างอาคารหรือผับแบบปิด เนื่องจากต้องการแก้ปัญหาการร้องเรียนเรื่องเสียงดัง ซึ่งยอมรับว่าไม่ได้มีการแจ้งขออนุญาตต่อเติมและดัดแปลงอาคาร
ทั้งคู่ ยังบอกด้วยว่า จำเป็นจะต้องประกอบธุรกิจร้านอาหารต่อไป เพราะมีพนักงานในความดูแล กว่า 60 คน จึงขอความเมตตาจากประชาชน เปิดโอกาสให้ได้ทำธุรกิจต่อไป เพื่อหาเงินเลี้ยงธุรกิจ และนำเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ แต่จะไม่มีการตั้งกองทุนช่วยเหลือชัดเจน เนื่องจากแต่ละรายได้รับผลกระทบแตกต่างกัน จึงเตรียมจะเข้าเจรจาเป็นกรณีไป ซึ่งได้มีการเตรียมหลักทรัพย์ไว้บางส่วนแล้ว เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้ดีที่สุด.-สำนักข่าวไทย