นครราชสีมา 6 พ.ค.- โผล่แล้ว! เจ้าบ่าวอ้างเป็นทหารเทงานแต่งที่ปราจีนบุรี ปล่อยเจ้าสาวจัดงานเก้อ ล่าสุด เจ้าบ่าวหนีกลับบ้านที่โคราช ยอมรับเงินไม่พอ แต่ยังรักเจ้าสาวอยู่ ด้านเจ้าสาวบอกหมดสิ้นเยื่อใยและความผูกพันเเล้ว ทุกอย่างมันจบแล้ว
น.ส.น้ำทิพย์ อายุ 40 ปี เจ้าสาวชาวอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ถูกเจ้าบ่าววัย 45 อ้างตัวเป็นทหารขอแต่งงาน ก่อนจัดพิธีมงคลสมรสในวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่เกิดเหตุการณ์เจ้าบ่าวไม่มาตามนัด เบี้ยวงานแต่ง หลบหนีหายหน้าหายตา ปล่อยให้เจ้าสาวคอยเก้อ ทั้งจัดเตรียมงานใหญ่โต เชิญแขกมาร่วมงานโต๊ะจีน 50 โต๊ะ พอถึงช่วงพิธีการ เจ้าสาวสวมชุดวิวาห์สวยงาม ต้องเข้าพิธีคนเดียวตามขั้นตอน จนเสร็จสิ้นพิธีเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
ล่าสุดวันนี้ (6 พ.ค.) เจ้าบ่าวโผล่แล้วหนีมากบดานที่บ้านตำบลโคกสูง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายเอก ออกมาพูดคุยกับผู้สื่อข่าว แต่ขอออกไปคุยข้างนอก อ้างว่าแม่ป่วยเป็นโรคหัวใจ หากแม่รู้เรื่องอาการจะทรุดลง
นายเอกบอกว่าหนีกลับมาตั้งหลักที่บ้านเพราะคิดอะไรไม่ออก วันแต่งงานมีเงินสินสอดแค่แสนกว่าบาท ไม่พอตามที่ตกลงไว้ 3 แสนบาท หาเงินไม่ทันจริงๆ พอกลับมาตั้งหลักที่บ้าน พยายามโทรไปหาเจ้าสาวแล้วแต่ไม่ยอมคุยด้วย จึงประสานนายก อบต.ในพื้นที่ของบ้านเจ้าสาว ตกลงกันว่าวันที่ 11พฤษภาคมนี้ จะหาเงินให้ครบ 3 แสนบาท ไปคืนให้เจ้าสาวที่ สภ.นาดี แล้วจะพาแม่ไปกราบขอขมาพ่อแม่เจ้าสาวด้วย ยืนยันว่ารักแฟนสาวคนนี้มาก คบกันมา 6 เดือน ตั้งใจจะแต่งจริงๆ แม้จะเคยจดทะเบียนสมรสกับภรรยาเก่า แต่หย่าร้างกันเรียบร้อยเมื่อปี 63 ส่วนเรื่องที่อ้างเป็นทหารยศสิบเอก จริง ๆแล้วเป็นเรื่องเข้าใจผิด เคยเป็นทหารเกณฑ์ประจำการอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คนเลยเรียกกันติดปากว่า “จ่าเอก” ยืนยันไม่ได้ตั้งใจหลอกเจ้าสาวขอให้เห็นใจและให้โอกาสอีกครั้ง ยืนยันว่าวันที่ 11 พฤษภาคมนี้ จะกลับไปเคลียร์ทุกอย่างให้จบ ยอมรับตัดสินใจพลาดจริง ๆ และอยากขอโทษสังคม
ด้านผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ บอกว่านายเอกมีภูมิลำเนาเป็นคนในหมู่บ้าน แต่เจ้าตัวไม่ค่อยอยู่บ้าน รู้แค่ว่าไปทำงานต่างจังหวัดแต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นทหาร รู้สึกตกใจที่รู้ข่าวเรื่องลูกบ้านไปหลอกผู้หญิงแต่งงานแล้วหนีกลับมาในพื้นที่ มีโอกาสคุยกับแม่นายเอกแม่ยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง ติดต่อลูกชายไม่ได้ อยู่ดี ๆ ก็มาโผล่กลับมาที่บ้าน
สำหรับฝั่งเจ้าสาวที่เล่าเรื่องนี้ บอกว่าคบหากับนายเอก เมื่อธันวาคม 2564 และขอแต่งงานอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ค่าสินสอดเงินสด 300,000 บาท ทองคำหนัก 3 บาท กำหนดจัดงานแต่งวันที่ 1 พ.ค. 65 จนถึง 6 โมงเช้า ก็ไม่เห็นเจ้าบ่าวมา จึงโทรตามเพื่อให้มาแต่งหน้า เพราะ 7 โมงต้องเข้าพิธี แต่ทางฝ่ายชายบอกว่า กำลังเถียงกับแม่เรื่องเงินค่าสินสอดแล้วไม่สามารถติดต่อได้อีก
ช่วงนั้นตนมีความรู้สึกว่า เหมือนจะถูกทิ้งถึงกับช็อก เพราะเสียใจที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น แต่ด้วยที่มีญาติพี่น้องมาปลอบใจบอกให้ทำพิธีให้เสร็จไปก่อนอย่างน้อยก็เพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเอง อะไรจะเกิดก็ช่างมัน หลังจากเสร็จพิธี ก็ยังพยายามติดต่อไปยังฝ่ายเจ้าบ่าว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงปรึกษาพ่อแม่ญาติพี่น้องนำหลักฐานทั้งหมดเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.นาดี เพื่อให้ติดตามฝ่ายมานับผดชอบค่าใช้จ่ายภายในงาน
เธอบอกว่า ช่วงระหว่างที่ดูใจกัน พยายามขอไปบ้านฝ่ายชายที่ จ.นครราชสีมา แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอดอ้างว่าแม่ และญาติพี่น้องติดโควิด-19 ยืนยันว่าที่ออกมาพูดในครั้งไม่ได้หวังเรียกหาความรัก แต่เรียกร้องเพื่อหาใช้มารับผิดชอบค่าใช้จ่ายในงาน ยืนนยันหนักแน่นว่าหมดสิ้นเยื่อใยและความผูกพันแล้วแม้จะมาขอโทษ หรืออ้างเหตุผลใดก็จะไม่เกิดประโยชน์ ทุกอย่างมันจบแล้ว.-สำนักข่าวไทย