บุรีรัมย์ 27 เม.ย. – กรณีนักเรียน ม.3 ที่บุรีรัมย์ หลังผู้ปกครองพาเข้าร้องสื่อว่าถูกเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตบังคับขายบริการให้แขกที่เข้าพักเพื่อใช้หนี้ เนื่องจากน้องยืมเงินไปรักษาอาการป่วยของย่า
ตำรวจภูธรภาค 3 ตั้งพนักงานสอบสวนเร่งทำคดีเพื่อช่วยเหลือนักเรียน ม.3 ที่ถูกเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ บังคับขายบริการให้แขกที่เข้าพัก เพื่อใช้หนี้ที่ยืมมาด้วยจำนวนเงิน 6,300 บาท
ล่าสุดวันนี้ได้สอบปากคำผู้เสียหาย โดยมีนักสหวิชาชีพเข้าร่วมสอบปากคำตามกระบวนการ ที่อัยการจังหวัดนางรอง ส่วนเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตที่ถูกกล่าวหา แอบเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ. ละหานทราย พร้อมกับทนายความ เพื่อแจ้งความจำนงว่าพร้อมต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และจะไม่หนีไปไหน
ส่วนแขกที่ใช้บริการ ทางตำรวจทราบตัวทั้งหมดแล้ว เตรียมเรียกสอบตามขั้นตอนหากมีหลักฐานกระทำความผิดพร้อมดำเนินการตามกฎหมายทุกราย
เหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่าน แม่บุญธรรมได้พาเด็กอายุ 15 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.3 มาร้องสื่อมวลชนเพื่อขอความช่วยเหลือ โดยอ้างว่าถูกเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตบังคับให้ขายบริการทางเพศ 4 ครั้ง จนเด็กทนไม่ไหว อยากหยุดทำ แต่ถูกข่มขู่ว่าจะประจานให้อับอาย และอ้างว่าไม่มีใครสามารถช่วยได้ เพราะตำรวจทั้งโรงพักเสี่ยก็รู้จักทั้งหมด เด็กเกิดอาการเครียด ไม่กินข้าวหลายวัน จนแม่บุญธรรมสังเกตเห็นความผิดปกติ และเค้นถามจนได้ข้อมูลว่า ไปยืมเงินจากเสี่ยเจ้ารีสอร์ต 6,300 บาท เพื่อนำไปเป็นค่ารักษาพยาบาลย่าวัย 70 ปี ที่ต้องผ่าตัดด่วน และรู้จักกับเสี่ยจากการแนะนำของเพื่อน
พฤติกรรมของเสี่ยจะให้เด็กคนนี้ขายบริการครั้งละ 1,500 บาท เสี่ยหักค่าห้อง 300 บาท หักค่าเปอร์เซ็นต์ 1,000 บาท เหลือ 200 บาทให้ผู้เสียหาย โดยก่อนหน้านี้เสี่ยคนดังกล่วยังเคยชักชวนให้เด็กมาอยู่ด้วย และจะส่งเสียเลี้ยงดูทุกอย่าง
หลังจากนั้นจึงพาผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีกับเสี่ยเจ้าของรีสอร์ต ตำรวจ สภ.ละหานทรายได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยดูแล จึงได้เดินทางไปที่บ้านของเด็ก เพื่อให้ความช่วยเหลือ ขณะนี้ได้นำตัวเด็กเข้ามารับการคุ้มครองที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดบุรีรัมย์
ขณะที่ย่าของผู้เสียหายให้ข้อมูลว่า หลานเอาเงินมารักษาอาการป่วย โดยไม่เคยรู้มาก่อนว่าหลานไปยืมเงินเสี่ย และถูกบังคับให้ขายบริการ เพราะไม่เคยเล่าให้ฟัง
ส่วนพ่อแม่ของหลาน แยกทางกันตั้งแต่หลานยังเด็ก ต่อมาแม่ก็เสียชีวิต และย่าก็ล้มป่วย ก็มีหลานช่วยดูแล ทั้งทำกับข้าว อาบน้ำให้ พาไปหาหมอ หากมีเวลาว่างหลานก็จะไปรับงานเป็นแดนเซอร์ รับล้างจาน ได้เงินมาก็เอามาให้ตลอด
อย่างไรก็ตาม หลักฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การออกหมายจับ คือ บทสนทนาผ่านไลน์ระหว่างเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตกับผู้เสียหาย ที่มีการพูดคุยเรื่องหนี้สิน และเรียกให้ไปที่รีสอร์ตเพื่อบริการลูกค้า
ตำรวจให้ข้อมูลว่า หากมีความผิดจริงตามที่ผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ เสี่ยเจ้าของรีสอร์ตอาจเข้าข่ายฐานกระทำอนาจาร พยายามข่มขืนกระทำชำเรา และเป็นธุระจัดหา. – สำนักข่าวไทย
