ตราด 6 เม.ย. – สอบเจ้าของโรงโม่ และเจ้าอาวาสวัดรัตนวราราม ไม่พบความผิดปกติเส้นทางการเงิน 200 ล้านบาท ในการก่อสร้างวัดว่าเกี่ยวข้องคดียักยอกเงินวัดบวรฯ
หนึ่งในวัดสาขาที่ จ.ตราด คือ วัดรัตนวราราม อ.บ่อไร่ วันนี้ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เดินทางไปพบนายสุรศักดิ์ เจ้าของบริษัท เพชรสยามศิลาตราด จำกัด และนายพิชานนท์ ลูกชาย พร้อมพระครูกิตติวัฒนคุณ เจ้าอาวาสวัดรัตนวราราม เพื่อติดตามเส้นทางการเงินที่คนสนิทสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ยักยอกเงินกว่า 200 ล้านบาท
การสอบปากคำครั้งนี้ได้มีการสอบถามในเรื่องเงินที่ทางบริษัท เพชรสยามศิลาตราด จำกัด ได้รับการโอนเงินผ่านเข้ามาในบัญชีของบริษัท รวมถึงการเบิกจ่ายไปทำอะไร และให้ใคร รวมทั้งมีธุรกรรมการเงินอย่างไรบ้าง ซึ่งนายสุรศักดิ์ เจ้าของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด และพระครูกิตติวัฒนคุณ ได้อธิบายถึงการเบิกจ่าย พร้อมนำเอกสารการเบิกจ่ายกว่า 50-60 หน้า มาแสดง
หลังสอบปากคำนานกว่าชั่วโมงครึ่ง พ.ต.อ.เอนก บอกว่า การมาสอบปากคำทั้ง 3 คน วันนี้ เพราะตรวจสอบพบเส้นทางการเงินของสมเด็จพระวันรัต ที่มีการโอนเงินมาจากธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาบางลำพู ส่งมาที่บัญชีโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด เป็นเงินจำนวนมาก เพื่อก่อสร้างวัดรัตนวราราม ที่มีมูลค่าเกือบ 200 ล้านบาท จึงต้องมาตรวจสอบว่ายอดเงินการโอนและการใช้จ่ายตรงกันหรือไม่ ซึ่งพบว่ามีความโปร่งใสและยอดการโอนตรงกัน ส่วนสาเหตุที่ต้องโอนเงินมายังบัญชีโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด เพราะเจ้าของโรงโม่เป็นผู้บริจาคที่ดินให้สมเด็จพระวันรัต เพื่อก่อสร้างวัด กว่า 60 ไร่ จึงดำเนินการโอนเงินมาให้ แต่การเบิกจ่ายจะมีเจ้าอาวาสวัดและคนของสมเด็จพระวันรัต ดูแลและเบิกจ่ายเอง
โดยการโอนแต่ละครั้งตลอดระยะเวลา 5-6 ปี นับร้อยครั้ง จะมีจำนวนไม่เท่ากัน แต่จากการตรวจสอบทั้งต้นทางและปลายทางไม่มีปัญหา เพราะมียอดตรงกัน โดยเฉพาะปลายทาง ทั้งเจ้าอาวาสวัดและเจ้าของโรงโม่ มีความชัดเจน โปร่งใส ไม่มีข้อพิรุธว่ามีการทุจริตแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่คนสนิทสมเด็จพระวันรัตยักยอกเงินนั้นจะมาจากส่วนใด ไม่ขอตอบ แต่จะอยู่ในสำนวน
ด้านนายพิชานนท์ ลูกชายเจ้าของโรงโม่ ยืนยันความบริสุทธิ์ โดยได้แสดงบัญชีทั้งหมดในการเบิกเงินมาก่อสร้างวัด ซึ่งเบิกจ่ายไปตามที่ได้รับมาจากทางสมเด็จพระวันรัต จำนวนกว่า 140 ล้านบาท และเหลือเงินมาอีก 14 ล้านบาท โดยยอดสุดท้ายโอนมา 19 ล้านบาท เป็นบัญชีของวัดรัตนวราราม และได้ใช้ไปแล้วส่วนหนึ่ง ที่ผ่านมาหลังเกิดเป็นประเด็น ทำให้ถูกพุ่งเป้ามาที่บริษัท ซึ่งได้ชี้แจงความชัดเจน และยังยืนยันจะดำเนินการก่อสร้างที่เหลือจนแล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ของสมเด็จพระวันรัต
เร่งขยายผลยักยอกเงินวัดบวรฯ
คดีนี้ตำรวจกองปราบปรามได้จับกุมนายเนย ลูกศิษย์คนสนิทที่มีความใกล้ชิดกับสมเด็จพระวันรัต และเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกร ตั้ง 4 ข้อหา คือ ฉ้อโกง ลักทรัพย์ ปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอม และฟอกเงิน
ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบมีการโอนเงินจากบัญชีธนาคารวัดเข้าบัญชีส่วนตัวของนายเนยหลายครั้ง ก่อนจะนำไปแปลงเป็นทรัพย์สินอื่นๆ ทั้งรถหรู และทรัพย์สินมีค่าต่างๆ โดยเฉพาะรถหรูยี่ห้อต่างๆ ที่ตำรวจตามยึดได้ทั้ง 9 คัน จากการตรวจสอบเอกสารการครอบครอง พบมีชื่อของนายเนยเป็นผู้ครอบครองเพียงไม่กี่คัน ส่วนใหญ่ชื่อผู้ครอบครองรถจะเป็นชื่อของบุคคลใกล้ชิด ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวมีส่วนรู้เห็นในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์ด้วยหรือไม่
จากการตรวจสอบบัญชีการเงินของวัดในช่วงปี 2564 พบว่านายเนยได้นำบัญชีธนาคารของวัดหลายบัญชีไปเบิกถอนออกมาเป็นเงินสดอยู่หลายครั้ง โดยไม่ทราบว่าเป็นการเบิกถอนเงินออกมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด และยังใช้โทรศัพท์ในการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของสมเด็จพระวันรัต และบัญชีอื่นของวัดบวรฯ มาใส่บัญชีของตนเอง
จากการตรวจสอบยังพบว่าในช่วงที่สมเด็จพระวันรัตอาพาธ นายเนยยังใช้อุบายหลอกลวงให้ลงลายมือชื่อในใบถอนเงิน แล้วเขียนจำนวนเงินที่ต้องการเอง นอกจากนี้นายเนยยังได้ให้คนใกล้ชิดสมเด็จพระวันรัตอีกคนหนึ่ง นำใบถอนเงินไปถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของวัดวชิรธรรมาราม แล้วซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายให้ตนเอง จนทางวัดวชิรธรรมาราม พบพิรุธจึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ นำมาสู่การออกหมายจับ และสามารถจับกุมตัวนายเนยได้เมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา.-สำนักข่าวไทย