BIG STORY : รอง ผบ.ตร.ลงพื้นที่โจรปล้นทองพบพระ-พบหลักฐานสำคัญ

ตาก 13 ก.พ. – พบกระเป๋า ค้อนเหล็ก เสื้อผ้า และรองเท้าบูท ของ 3 คนร้าย ปล้นร้านทองกลางตลาดพบพระ ถูกถอดทิ้งไว้ในลำห้วยวาเล่ย์ที่กั้นระหว่างพรมแดนไทย-เมียนมา คาดผู้ก่อเหตุและช่วยเหลือสนับสนุนการปล้นทองครั้งนี้อาจมีมากกว่า 3 คน


ตำรวจยังคงไล่ล่า 3 โจรบุกปล้นร้านทองกลางตลาดพบพระ จ.ตาก กวาดทองไปกว่า 200 บาท โดยระดมปูพรมตรวจบ้านเป้าหมายและตรวจสอบรถกระบะคันที่ใช้คนร้ายใช้ก่อเหตุและนำไปจอดทิ้งไว้

กรณีคนร้าย 3 คน พร้อมอาวุธ บุกปล้นร้านทอง ชื่อห้างทองกรุงเทพ 4 พบพระ ถนนสายดอนเจดีย์-วาเล่ย์ หมู่ 1 ตำบลพบพระ จังหวัดตาก ใกล้กับทางเข้าออกหน้าโรงพยาบาลอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ซึ่งตั้งอยู่ย่านใจกลางอำเภอพบพระ และเป็นย่านชุมชน โดยคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่กระจกหน้าร้านทอง ใช้ค้อนทุบจนกระจกแตกละเอียด และยังยิงลูกค้าที่ซื้อทองขณะเกิดเหตุอยู่ภายในร้าน คือ นายชิอาก่า จนเสียชีวิต พร้อมกวาดทองคำกว่า 200 บาท ใส่กระเป๋าวิ่งออกจากร้านทองตรงไปขึ้นท้ายรถกระบะที่จอดสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ หลบหนีมุ่งหน้าไปแนวชายแดนไทย-เมียนมา


ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดไล่ล่าคนร้ายออกติดตามจนพบรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บง-1910 คันที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ แต่ไม่พบคนร้ายทั้งสามและทอง โดยคนร้ายจอดรถยนต์คันก่อเหตุไว้บนเส้นทางบ้านผากะเจ้อ หมู่ 9 ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ ห่างจุดเกิดเหตุประมาณ 6 กิโลเมตร และห่างจากแนวชายแดนไทย-เมียนมา กว่า 8 กิโลเมตร ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ยกรถของคนร้ายไปเก็บไว้ที่ สภ.พบพระ ก่อนที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานจังหวัดตากเข้าเก็บวัตถุพยานหลักฐานภายในรถของกลางคันดังกล่าว พบวัตถุพยานหลักฐานสำคัญที่คนร้ายทิ้งไว้ในรถหลายรายการ

ตรวจพิสูจน์หลักฐานรถใช้ปล้นทองและรถเกี่ยวข้อง
ขณะที่ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.พบพระ และตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัดตาก ได้ประสานขอชุดทหารนำสุนัขทหารดมหาวัตถุหลักฐานภายในรถยนต์กระบะคันที่ใช้ก่อเหตุ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังตรวจยึดรถยนต์กระบะสีขาว ซึ่งเป็นรถยนต์ต้องสงสัยอีก 1 คัน ที่จอดทิ้งไว้ริมแม่น้ำเมย ห่างจากจุดพบรถยนต์คันแรกไปไกลกว่า 8 กิโลเมตร ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานจังหวัดตากได้เข้าเก็บวัตถุพยานหลักฐาน และได้หลักฐานสำคัญภายในรถยนต์ทั้ง 2 คันที่เชื่อมโยงกัน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

ขณะเดียวกันตำรวจยังเชิญตัวลูกชายอดีตตำรวจ อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของรถที่คนร้ายใช้ขับมาก่อเหตุ โดยลูกชายอดีตนายตำรวจเจ้าของรถยนต์กระบะตอนเดียว ให้การว่า รถของตนเองถูกคนร้ายปล้นไปและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นทองดังกล่าว ขณะนี้ตำรวจได้กันไว้เป็นพยาน พร้อมสอบสวนเชิงลึกนานหลายชั่วโมง


ผบช.ภาค 6 ลงพื้นที่ติดตามคดี
ช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พร้อมทีมสืบสวนหลายชุดปฏิบัติการ ได้ลงพื้นที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ พร้อมให้กำลังใจนางอำพร อยู่แก้ว เจ้าของร้านทองเกิดเหตุ

ตรวจค้นบ้านเป้าหมาย หวั่นคนร้ายหนีข้ามชายแดน
มีรายงานว่า ชุดสืบสวนได้นำหมายค้นเข้าไปปิดล้อมตรวจค้นบ้านกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ชายแดนอำเภอพบพระ พร้อมกัน 3 จุดโดยมีทีมตำรวจติดอาวุธครบมือเข้าตรวจค้นและไล่ล่าคนร้ายทั้งสามด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากคนร้ายทั้งสามมีอาวุธติดตัว และอาจจะมีความเป็นไปได้สูงว่าคนร้ายอาจหลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน หรือไม่ก็ยังคงหลบซ่อนตัวในป่าแนวตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา

สำหรับการปล้นร้านทองในครั้งนี้เป็นการปล้นที่อุกอาจที่ไม่เคยเกิดในพื้นที่อำเภอพบพระ ซึ่งตำรวจระบุว่าคนร้ายเตรียมการมาเป็นอย่างดี และมีการทำงานเป็นทีม มีการวางแผนการขับรถหลบหนีได้แบบชำนาญเส้นทาง

รอง ผบ.ตร.บินด่วนตรวจพื้นที่โจรปล้นทอง
ต่อมาช่วงบ่าย พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อม พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี และฝ่ายสืบสวนฝีมือดีหลายชุดปฏิบัติการในสังกัดตำรวจภูธรภาค 6 ได้ลงพื้นที่ สภ.พบพระ เพื่อประชุมความคืบหน้า ภายหลังการประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมง พล.ต.อ.สุชาติ ได้เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุที่ห้างทองกรุงเทพ 4 พบพระ พร้อมสอบสวนผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่เก็บวัตถุพยานหลักฐานให้ละเอียด จากนั้นได้เดินทางไปยังหมู่บ้านผากะเจ้อ จุดที่พบรถยนต์กระบะสีบรอนซ์เทา ซึ่งเป็นรถยนต์ที่คนร้ายปล้นมาจากนายหนุ่ย เจ้าของรถ ก่อนจะขับรถยนต์กระบะเข้าไปก่อเหตุ และตรวจบริเวณถนนทางการเกษตรท้ายหมู่บ้านยะพอ ซึ่งเป็นจุดพบรถยนต์กระบะสีขาว ซึ่งคาดว่าเป็นรถยนต์คันที่ 2 ที่กลุ่มคนร้ายขับมารับทีมปล้นทั้ง 3 คนออกจากจุดทิ้งรถยนต์กระบะจุดที่ 1 และขับนำพาคนร้ายทั้ง 3 คนไปส่งที่จุดที่ 2 ริมลำห้วยวาเล่ย์ ท้ายหมู่บ้านยะพอ

พบหลักฐานสำคัญคนร้าย
จุดนี้เจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญทางคดี โดยนำสุนัขดมกลิ่นทางยุทธวิธีของทหารมาช่วยค้นหาวัตถุพยานหลักฐาน จนสามารถพบกระเป๋าและค้อนเหล็กของคนร้ายอย่างละ 1 ชิ้น และยังตรวจพบเสื้อผ้าและรองเท้าบูทของคนร้ายทั้ง 3 คน ถูกถอดทิ้งไว้ในลำห้วยวาเล่ย์ ซึ่งเป็นลำห้วยกว้างเพียง 10 เมตร ที่กั้นระหว่างพรมแดนไทย-เมียนมา ท้ายหมู่บ้านยะพอ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ส่งตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานจังหวัดตากเข้าไปเก็บหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และเก็บดีเอ็นเอของวัตถุพยานหลักฐานทุกชิ้นในทุกจุด เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดีอย่างละเอียด พร้อมเร่งหาแหล่งร้านค้าที่คนร้ายไปซื้อทั้งเครื่องแต่งกาย พร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ก่อเหตุ ขณะนี้มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากตามลำดับ

เร่งเก็บหลักฐาน ประสานเพื่อนบ้านไล่ล่าคนร้ายอีกทาง
พล.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายวางแผนการปล้นชิงทองมาเป็นอย่างดี ขณะนี้คาดว่าคนร้ายอาจจะหลบหนีเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน หรือซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งได้มีการประสานความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้านให้ช่วยออกติดตามตัวคนร้ายแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่ก่อเหตุและช่วยเหลือสนับสนุนในการปล้นทองครั้งนี้อาจมีมากกว่า 3 คน โดยฝ่ายสืบสวนจำนวนมากถูกระดมกำลังลงพื้นที่ชายแดนอำเภอพบพระ ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งสืบสวนสอบสวนขยายผลทางคดีอย่างเร่งด่วนแล้ว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทหารกัมพูชาขุด “คูเลต” ลากยาว 650 เมตร

อุบลราชธานี 28 พ.ค.- เปิดภาพ! “คูเลต” ทหารกัมพูชาขุดลากยาว 650 เมตร จากต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว จุดปะทะทหารไทย เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร ซึ่งเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา เพราะเป็นการละเมิด MOU 2543 เป็นครั้งที่ 2 แต่ทางทหารกัมพูชากับยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน โดยช่วงนี้อยู่ระหว่างการเจรจาของผู้นำในพื้นที่ทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายทหารไทยยืนยันว่าให้ทหารกัมพูชา ออกจากพื้นที่อ้างสิทธิพร้อมกัน-313 .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ย้ำกัมพูชาต้องยึด MOU 43 หลังละเมิดขุดคูเลต 2 รอบ

อุบลราชธานี 28 พ.ค.- มทภ.2 ย้ำกัมพูชาต้องยึด MOU 43 หลังละเมิดขุดคูเลต 2 รอบ ทหารไทยเข้าเจรจากลับยิงสวน ลั่นปกป้องอธิปไตยตามแผนที่ 1:50,000 เต็มที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึง เหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา กำลังพลของกองกำลังสุรนารีได้ลาดตระเวนและพบว่า ทหารกัมพูชาขุดคูเลต เช่นเดียวกับเนิน 745 ช่องบก ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา แต่ทางกัมพูชา ยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน อย่างที่เป็นข่าว สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อจากนี้ ผู้บังคับบัญชาในระดับพื้นที่กำลังพูดคุยเจรจา “ยืนยันว่าทหารไทยทำหน้าที่รักษาอธิปไตยตามแผนที่ 1:50,000 ซึ่งในพื้นที่ทับซ้อนของทั้ง 2 ประเทศ จะมีการออกลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายล้ำเข้ามา ซึ่งทุกฝ่ายต้องยึดตาม MOU 2543”.-313.-สำนักข่าวไทย

ปะทะทหารกัมพูชา

ทบ.แจงเหตุปะทะทหารกัมพูชาบริเวณช่องบก คลี่คลายแล้ว

กองทัพบก 28 พ.ค.-ทบ.แจงเหตุปะทะทหารกัมพูชาบริเวณชายแดนช่องบก จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายแล้ว อยู่ระหว่างรอการเจรจา พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05.30 น. โดย หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชา ได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ต่อมาเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่ […]

มติเอกฉันท์ สภาอนุมัติ “พ.ร.ก.ไซเบอร์-สินทรัพย์ดิจิทัล”

รัฐสภา 28 พ.ค.- สภาเอกฉันท์อนุมัติ “พ.ร.ก.ไซเบอร์-สินทรัพย์ดิจิทัล” ให้ธนาคารร่วมชดใช้ค่าเสียหายจาก “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” เร่งคืนเงินผู้เสียหาย ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ วาระการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ซึ่งแบ่งเวลาในการอภิปรายฝ่ายละ 2 ชั่วโมง รวม 4 ชั่วโมง และจะเป็นการรวมพิจารณา และแยกลงมติทีละฉบับ โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอหลักการว่า เนื่องจากปัจจุบัน มี พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญกรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ยังมีมาตรการบังคับทางกฎหมายที่ยังไม่เพียงพอ กับรูปแบบอาชญากรรม กลุ่มมิจฉาชีพ จึงต้องแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัย เช่น การเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหาย, การอาญัติบัญชีม้า, การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ และมาตรการการโอนเงินผิดกฎหมาย ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล จากนั้น ได้เปิดโอกาสให้ สส.อภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยนายจุติ […]

ข่าวแนะนำ

ทบ.แถลงการณ์ “กองทัพบกไทย-กัมพูชา” ยึด 4 ข้อแก้ปัญหาชายแดน

กองทัพบก 30 พ.ค.-ทบ.แถลงการณ์ “กองทัพบกไทย-กัมพูชา” ยึด 4 ข้อแก้ปัญหาพิพาทชายแดน ยันทหาร 2 ฝ่ายถอนกำลังจากจุดปะทะช่องบกแล้ว วอนประชาชนรับฟังข้อมูลสื่อหลัก ขอเชื่อมั่นทหารปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว กองทัพบก ออกหนังสือแถลงการณ์ผลการเจรจาระหว่าง ผบ.ทบ.ไทย – ผบ.ทบ.กัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 1.ผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียกำลังพลจากเหตุการณ์ปะทะ และเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญต่อเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของทั้งสองประเทศ ที่ต้องการให้มีการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง พร้อมแสดงจุดยืนสนับสนุนการพูดคุยเจรจาด้วยสันติวิธีในการหาข้อตกลงร่วมกัน และขอยืนยันว่าจะไม่มีการรุกรานอธิปไตยหรือการหยิบยกประเด็นข้อขัดแย้งในอธิปไตยของกัมพูชาโดยเด็ดขาด การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลดีต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ 2.กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทยและกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ โดยปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้ตกลงที่จะเคลื่อนออกจากพื้นที่ ถือเป็นการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นพ้องในการใช้กลไกคณะกรรมการร่วมมือรักษาความ สงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน หรือ Reqional Border Committee (RBC) เพื่อคลี่คลายข้อสงสัยที่อาจค้างคา และส่งเสริมกลไก JBC ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น […]

ทบ. จ่อออกแถลงการณ์ ห้ามทหารกัมพูชาเข้าใช้พื้นที่เนิน 745

กองทัพบก 30 พ.ค.-ทบ. เตรียมออกแถลงการณ์จุดปะทะช่องบก ไม่ให้ทหารกัมพูชาเข้ามาใช้พื้นที่เนิน 745 – ต้นสัตบรรณ ถึงสามแยกลาว เล็งพูดคุยจัดชุดลาดตระเวนร่วม ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พิธีไถ่ชีวิตกระบือ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระราชินี 3 มิ.ย. โดยในวันนี้ กองทัพบกเตรียมออกแถลงการณ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อย่างเป็นทางการ ภายหลังวานนี้ (29 พ.ค.) พล.อ.พนา ได้หารือกับ พลเอก เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา และคณะฝ่ายกัมพูชา ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน กรณีเกิดเหตุปะทะช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี จนได้ข้อสรุป 3 ข้อ 1.กรณีข้อขัดแย้งบริเวณช่องบก กองทัพบกไทย และกัมพูชา มีความเห็นร่วมกันในการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ซึ่งเป็นกลไกในระดับรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งผลการประชุม JBC คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในอีก 2 สัปดาห์ 2.ปัจจุบันกำลังทั้งสองฝ่ายที่เคยปะทะได้เคลื่อนออกจากพื้นที่แล้ว คลี่คลายความตึงเครียด […]

“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ ข่าว สส.ดังนครศรีฯ ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา

กทม. 30 พ.ค.-“ชัยชนะ” บอกไม่ทราบ-ไม่รู้ ข่าว สส.ดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมากลางงานบวช ยืนยันไม่เป็นความจริง นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าว สส.ชื่อดัง จ.นครศรีธรรมราช ยกพวกรุมทำร้ายผู้รับเหมา กลางงานบวชลูกชายของนายก อบต. ต่อหน้าชาวบ้านนับร้อยคน โดยนายชัยชนะ ได้ปฏิเสธข่าวบอก ไม่รู้ ไม่ทราบข่าว พร้อมบอกผู้สื่อข่าวว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อถามว่า เป็นคนรู้จัก หรือคนใกล้ชิดหรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวเลย ก่อนย้ำอีกครั้งว่า ต้องไปถามที่มาของข่าว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ตอบว่า “ครับผม” เมื่อถามว่า ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่เลยใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ระบุว่า ตนลงพื้นที่วันละหลายงาน และเมื่อถามทิ้งท้ายว่า ไม่มีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ นายชัยชนะ ยืนยันว่า “ไม่มี“.-315.-สำนักข่าวไทย

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้มาตรการภาษี ‘ทรัมป์’ ยังบังคับใช้

วอชิงตัน 30 พ.ค. – ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางมีคำสั่งในวันพฤหัสบดี ให้มาตรการภาษีตอบโต้ที่ครอบคลุมมากที่สุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมามีผลบังคับใช้อีกครั้งเป็นการชั่วคราว เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ ตัดสินว่านายทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเรียกเก็บภาษีเหล่านั้นและสั่งให้ระงับมาตรการภาษีดังกล่าวทันที ศาลอุทธรณ์กลางแห่งสหรัฐอเมริกา ประจำเขตวอชิงตัน ระบุว่ากำลังระงับคำตัดสินของศาลชั้นต้นไว้ชั่วคราว เพื่อพิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาล และมีคำสั่งให้ฝ่ายโจทก์ที่ยื่นฟ้องหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีในคดีนี้ยื่นเอกสารตอบกลับภายในวันที่ 5 มิถุนายน และให้ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายที่ถูกฟ้องร้องหรือเป็นผู้กำหนดภาษี ให้ส่งเอกสารตอบกลับภายในวันที่ 9 มิถุนายน นายทรัมป์เขียนแถลงการณ์ที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า เขาหวังว่าศาลฎีกาของสหรัฐจะ ‘กลับคำตัดสินอันเลวร้ายที่คุกคามประเทศ’ ของศาลการค้าระหว่างประเทศ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตุลาการของรัฐบาลว่า ‘เป็นปฏิปักษ์ต่ออเมริกา’ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา คณะผู้พิพากษา 3 คนของศาลการค้าระหว่างประเทศ ตัดสินว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจแก่รัฐสภา ไม่ใช่ประธานาธิบดี ในการเรียกเก็บภาษีและอากรศุลกากร และประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตโดยการอ้างใช้กฎหมายว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งหมายเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ.-813.-สำนักข่าวไทย