อสมท 9 ก.พ.- ที่นี่ที่เดียว! เปิดหมดเปลือก ทุกประเด็นศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องพี่เขยที่ถูกสาวสุพรรณฯ แจ้งความเอาผิดฐานข่มขืน ก่อนกลายเป็นเรื่องสลดใจเมื่อสาวสุพรรณฯ คิดสั้นกินยาฆ่าตัวตาย เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง
ความคืบหน้ากรณีสาวสุพรรณฯวัย 29 ปี แจ้งความดำเนินคดีกับพี่เขยว่าก่อเหตุข่มขืนตนในบ้านพักเมื่อเดือนเมษายน 2562 ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารผู้อื่นและให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา แต่ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยในข้อหากระทำอนาจาร
หลังจากนั้น สาวสุพรรณฯ ผู้เสียหายได้ก่อเหตุกินยาฆ่าตัวตาย เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง ซึ่งญาติได้ประกอบพิธีฌาปนกิจที่ จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนที่ล่าสุดเช้าวันนี้ (9 ก.พ.) สามีผู้ตายพร้อมญาติได้เดินทางมาที่ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม เพื่อร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องราวที่เกิดขึ้นเนื่องจากคดีนี้กำลังเป็นที่สนใจของสังคม สำนักข่าวไทย อสมท จึงขอนำรายละเอียดคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีนี้มานำเสนอ ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 3912/2564 วันที่ 20 กันยายน 2564 คดีระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นโจทก์ ฟ้องนายดำ(นามสมมุติ) จำเลย ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยข่มขืนกระทำชำเรานางสาว พ. ผู้เสียหาย โดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เพื่อสนองความใคร่ของจำเลยโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เหตุเกิดที่ตำบลต้นตาล อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารผู้อื่น และให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา เนื่องจากผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ไม่พบเชื้ออสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหาย แต่พบหลักฐานว่ากางเกงของผู้เสียหายที่ใส่ในคืนเกิดเหตุ เมื่อนำไปตรวจพิสูจน์แล้วพบ DNA ของจำเลยอยู่ที่กางเกงตัวดังกล่าวโดยไม่พบอสุจิ จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278(เดิม) ลงโทษจำคุก 3 ปี และให้จำเลยชำระเงินแก่ผู้เสียหาย 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่เกิดเหตุจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นสามีของนางพจมาน ซึ่งเป็นพี่สาวของนายจีรศักดิ์ สามีของผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2562 ผู้เสียหายกับสามีไปแจ้งความต่อ ร.ต.ท.ธนโชติ เล้าพูนผล พนักงานสอบสวน ว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราพร้อมกับนำกางเกงขาสั้นสีฟ้า ไปมอบให้ ร.ต.ท.ธนโชติ ได้ส่งตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจที่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่
โจทก์มีผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ในวันและเวลาเกิดเหตุผู้เสียหายมีอาการเมาไม่รู้สึกตัว นายจีรศักดิ์อุ้มผู้เสียหายขึ้นไปบนบ้านแล้วพาผู้เสียหายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพาผู้เสียหายเข้านอน เมื่อนายจีรศักดิ์ลงจากบ้านไปได้ไม่นาน นางประมวลตะโกนบอกว่าผู้เสียหายอาเจียนและปัสสาวะรดกางเกง นายจีรศักดิ์ขึ้นไปบนบ้านเปลี่ยนกางเกงให้ผู้เสียหายเป็นกางเกงขาสั้นเอวยางยืดสีฟ้า ไม่ได้นุ่งกางเกงใน แล้วเปิดไฟบริเวณหัวนอนไว้
ขณะนั้นจำเลยพานางพจมาน ภริยาจำเลย ซึ่งมีอาการเมาเช่นกันขึ้นไปบนบ้านในเวลาไล่เลี่ยกัน เวลาประมาณ 23 นาฬิกาเศษ ใกล้จะเที่ยงคืน ผู้เสียหายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เนื่องจากมีคนมาคร่อมบนตัวของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายลืมตาเห็นว่าเป็นจำเลยไม่ได้สวมเสื้อผ้า ผู้เสียหายร้องเฮ้ย จำเลยรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหลบหนีไป ผู้เสียหายใช้มือคลำอวัยวะเพศของตนรู้สึกแฉะบริเวณหัวหน่าว เมื่อนำขึ้นมาดมรู้ว่าเป็นกลิ่นน้ำอสุจิ ผู้เสียหายพยายามลุกขึ้นแต่ไม่มีแรง จึงคลานไปที่ห้องน้ำเอาน้ำราดศีรษะ และได้ความจากนายจีรศักดิ์ พยานโจทก์ ว่า เมื่อพาผู้เสียหายเข้านอนแล้วนายจีรศักดิ์ลงไปที่วงสุราประมาณ 10 นาที เห็นจำเลยกลับมาที่วงสุรานั่งอยู่ประมาณ 5 นาที จำเลยก็กลับขึ้นบนบ้าน
นายจีรศักดิ์สังเกตเห็นว่าไฟบริเวณหัวนอนถูกปิด และได้ยินเสียงคนในห้องน้ำ จึงเข้าไปที่ห้องน้ำพบผู้เสียหายนอนฟุบอยู่ ผู้เสียหายบอกให้นายจีรศักดิ์เอาน้ำราดศีรษะให้ ผู้เสียหายยันตัวเองขึ้นนั่งแล้วถอดกางเกงเอวยางยืดสีฟ้าออก นายจีรศักดิ์พาผู้เสียหายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ ผู้เสียหายถามนายจีรศักดิ์ว่าได้ร่วมเพศผู้เสียหายหรือไม่ เมื่อนายจีรศักดิ์ปฏิเสธ ผู้เสียหายร้องไห้ นายจีรศักดิ์จึงคิดว่าคงมีคนแอบเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
นายจีรศักดิ์ไปหยิบกางเกงขาสั้นสีฟ้าของผู้เสียหายที่อยู่ในห้องน้ำมาดมกลิ่น แน่ใจว่าเป็นกลิ่นของน้ำอสุจิ นายจีรศักดิ์จึงปลุกมารดา จำเลย และนางพจมาน ภริยาจำเลย แล้วนำกางเกงดังกล่าวมาให้ดม และนำไปให้เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ในวงสุราดมด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว ศาลจึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง ผู้เสียหายเบิกความเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงว่า คืนเกิดเหตุผู้เสียหายเมาสุรามาก นายจีรศักดิ์ สามีของผู้เสียหาย อุ้มขึ้นมาอาบน้ำ แล้วพาผู้เสียหายไปนอนในห้องนอน ผู้เสียหายรู้สึกอึดอัดจึงถอดเสื้อออก สวมแต่เพียงกางเกงขาสั้นสีฟ้าเพียงตัวเดียวและไม่ได้สวมกางเกงใน
ประมาณใกล้เที่ยงคืน ผู้เสียหายรู้สึกตัวขึ้นมา เห็นจำเลยคร่อมอยู่บนตัวของผู้เสียหาย ผู้เสียหายใช้มือคลำดูที่อวัยวะเพศพบว่ามีน้ำอสุจิ เอาขึ้นมาดมดูก็ได้กลิ่นน้ำอสุจิ ผู้เสียหายร้องเฮ้ย จำเลยวิ่งหลบหนีไป ขณะเกิดเหตุจำเลยทำอะไรกับผู้เสียหายบ้าง ผู้เสียหายก็ไม่ทราบและผู้เสียหายอ้างว่าไม่รู้สึกตัว จะถูกเอาอวัยวะเพศชายสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายหรือไม่ ผู้เสียหายก็ไม่ทราบเพราะไม่รู้สึกตัว แตกต่างกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ซึ่งผู้เสียหายกลับให้การว่าขณะผู้เสียหายรู้สึกตัวขึ้นมา มองเห็นจำเลยกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยอวัยวะเพศของจำเลยอยู่ในช่องคลอดของผู้เสียหาย
คำเบิกความของผู้เสียหายจึงมีพิรุธน่าสงสัย ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าหลังจากจำเลยวิ่งหลบหนีไป ผู้เสียหายพยายามโทรศัพท์หาสามี แต่โทรติดต่อไม่ได้นั้น ผู้เสียหายก็น่าจะตะโกนเรียกสามีซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่กับพวกบริเวณหน้าบ้าน ทั้งสภาพห้องนอนผู้เสียหายมีเพียงตู้กั้นเป็นห้องนอน ไม่มีประตู ขณะเกิดเหตุนางประมวล มารดาของนายจีรศักดิ์ กับหลานและภริยาของจำเลยก็นอนอยู่บนบ้าน ผู้เสียหายก็น่าจะตะโกนเรียกบุคคลดังกล่าว เพราะก่อนหน้านั้นผู้เสียหายอาเจียนและปัสสาวะใส่กางเกง ผู้เสียหายยังตะโกนเรียกให้สามีมาเปลี่ยนกางเกงให้ และนางประมวลเป็นคนเรียกให้นายจีรศักดิ์มาเปลี่ยนกางเกงให้ผู้เสียหาย
ต่อมาเมื่อสามีผู้เสียหายขึ้นมาบนบ้าน ผู้เสียหายกลับไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้สามีทราบ ที่ผู้เสียหายอ้างว่าเหตุที่ไม่ยอมบอกสามี เพราะสามีเป็นคนใจร้อนกลัวจะมีเรื่องนั้น ไม่มีเหตุผลรับฟัง เพราะในตอนแรกเหตุที่ผู้เสียหายพยายามโทรศัพท์หาสามีนั้น น่าเชื่อว่าเพราะผู้เสียหายต้องการบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้สามีทราบ
ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้นที่ผู้เสียหายกับนายจีรศักดิ์พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความทำนองเดียวกันว่า เมื่อกลับมานอนผู้เสียหายถามนายจีรศักดิ์ว่าร่วมเพศกับผู้เสียหายหรือไม่ นายจีรศักดิ์จึงหยิบอาวุธปืนมานั้น ก็มีพิรุธน่าสงสัย เพราะหากผู้เสียหายรู้สึกตัวขึ้นมาเห็นจำเลยซึ่งไม่ได้สวมเสื้อคร่อมอยู่บนตัวผู้เสียหาย ทั้งขณะนั้นผู้เสียหายรู้อยู่แล้วว่านายจีรศักดิ์ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนอนและผู้เสียหายพยายามโทรศัพท์ติดต่อนายจีรศักดิ์ จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้เสียหายจะถามนายจีรศักดิ์เช่นนี้ และผู้เสียหายกลับบอกกับนายจีรศักดิ์ว่าคงฝันไปมั้ง นายจีรศักดิ์พยายามคาดคั้น แต่ผู้เสียหายก็ไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมบอก นายจีรศักดิ์จึงไปหยิบกางเกงขาสั้นของผู้เสียหาย ซึ่งเปียกน้ำในห้องน้ำมาดมดูได้กลิ่นเหมือนน้ำอสุจิผู้ชายนั้น คำเบิกความของนายจีรศักดิ์ดังกล่าวมีพิรุธน่าสงสัย เพราะเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยอย่างยิ่งที่สามีของผู้เสียหายจะมาดมกลิ่นน้ำอสุจิของชายที่ล่วงละเมิดทางเพศภริยาของตนเช่นนี้ ทั้งผลการตรวจพิสูจน์กางเกงของผู้เสียหายที่ผู้เสียหายกับนายจีรศักดิ์นำไปมอบให้พนักงานสอบสวน ก็ไม่พบคราบอสุจิที่กางเกงดังกล่าว และในเรื่องที่ผู้เสียหายเบิกความในตอนแรกว่า ผู้เสียหายคลำที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายพบน้ำอสุจิ และเอาขึ้นมาดมได้กลิ่นน้ำอสุจินั้น ก็เป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของผู้หญิง ซึ่งน่าจะรังเกียจการที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศดังกล่าว ไม่น่าจะนำเอาน้ำอสุจิของชายที่ล่วงละเมิดทางเพศตนมาดมเช่นนี้
นอกจากนี้ นางประมวล พยานโจทก์ เบิกความว่า พยานเข้าไปสอบถามผู้เสียหายในห้องนอนกับนายจีรศักดิ์ ผู้เสียหายบอกว่ามีคนข่มขืนกระทำชำเรา แต่ไม่ได้บอกว่าคือใคร พยานถามผู้เสียหายว่าเมาหรือเปล่า ผู้เสียหายยืนยันว่าถูกข่มขืนกระทำชำเราจริง แต่จำไม่ได้ จึงมีพิรุธว่าเพราะเหตุใดในขณะนั้นผู้เสียหายจึงไม่ยอมบอกว่า ผู้เสียหายถูกบุคคลใดกระทำดังกล่าว ส่วนผลการตรวจพิสูจน์พบดีเอ็นเอของจำเลยที่กางเกงสีน้ำเงินหรือสีฟ้า ซึ่งเป็นกางเกงที่ผู้เสียหายสวมใส่ในคืนเกิดเหตุนั้น จึงน่าจะมีดีเอ็นเอของผู้เสียหายอยู่ แต่ผลการตรวจพิสูจน์กลับไม่พบดีเอ็นเอของผู้เสียหายที่กางเกงดังกล่าว
พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา มีพิรุธและยังมีความสงสัยว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย โดยขึ้นคร่อมบนตัวผู้เสียหายและหลั่งน้ำอสุจิบนร่างกายผู้เสียหายหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278(เดิม) และยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤซาธรรมเนียมในส่วนแพ่งทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7.-สำนักข่าวไทย