ค้นคอนโดอดีต ผกก.โจ้ พบอุปกรณ์เสพยา – ยาบางชนิด

นครสวรรค์ 2 ก.ย.-อัยการเดินหน้าสอบอดีต ผกก.โจ้ และพวก ถึงเรือนจำพิษณุโลก หลังตำรวจค้นคอนโดและบ้านผู้ต้องหาทั้ง 7 คน เจอสิ่งของที่นำไปขยายผลเชื่อมโยงพฤติกรรมแห่งคดีได้


คดีพันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีต ผกก.โจ้ ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาเสียชีวิต กองปราบ และตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดนครสวรรค์ ยังเดินหน้าหาหลักฐานเชื่อมโยงพฤติการณ์ของอดีต ผกก.โจ้และพวก โดยเฉพาะประเด็นที่อดีต ผกก.โจ้ อ้างว่าเป็นไบโพลาร์ รวมถึงประเด็นยาเสพติดที่อาจมีซุกซ่อนอยู่ ซึ่งล่าสุด กองปราบ บุกค้นคอนโดของอดีต ผกก.โจ้ ที่ใช้พักขณะทำงานอยู่ในตัวเมืองนครสวรรค์ โดยคอนโดนี้อยู่ใจกลางเมืองนครสวรรค์ ริมอุทยานสวรรค์ ความสูง 8 ชั้น ห้อง อดีต ผกก.โจ้ มีขนาด 32 ตารางเมตร เจ้าตัวเช่าพักเดือนละ 6,500 บาท มาตั้งแต่ปลายปี 63 แต่ไม่กี่วันก่อน ญาติๆ มาขอยกเลิกสัญญาเช่าไปแล้ว ส่วนภายในห้องมีอุปกรณ์เครื่องใช้อำนวยความสะดวกแบบเรียบง่าย แค่เตียง ตู้เสื้อผ้า ทีวี ส่วนการตรวจค้นของใช้ส่วนตัว พบอุปกรณ์เสพยา เศษผงยาเสพติด และยาบรรจุซองวางอยู่ โดยมีรายงานว่า ยาที่พบ เป็นยาคลายเครียด ยาขยายหลอดเลือด ลดความดัน และยาพ่นรักษาภูมิแพ้

ขณะที่ชุดสืบสวนภูธรจังหวัดนครสวรรค์ เปิดปฏิบัติการรุ่งสาง ตามคำสั่งของ พลตำรวจเอกสุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. นำกำลังบุกค้นบ้านของตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ชุด 05 ที่ถูกจับในคดีอดีต ผกก.โจ้ โดยเฉพาะบ้านของดาบตำรวจวิสุทธิ์ บุญเขียว ผบ.หมู่ป้องกันปราบปราม สภ.เมืองนครสวรรค์ หรือ ดาบโบ้ นอกจากจะอยู่แฟลตตำรวจที่อยู่หลังกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดแล้ว ยังมีบ้านพักอีกแห่งในตำบลหนองกระโดนด้วย ซึ่งการตรวจค้นพบยาเสพติดซุกซ่อนอยู่จำนวนหนึ่ง


ส่วนความเคลื่อนไหวที่พิษณุโลก นายสมพงษ์ เย็นแก้ว รองอธิบดีอัยการภาค 6 พลตำรวจตรี ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการภาค 6 และพันตำรวจเอก เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม พร้อมด้วยทนายฝั่งผู้ต้องหา บุกเรือนจำพิษณุโลก เพื่อสอบปากคำอดีต ผกก.โจ้ และพวก เพราะตามหลักเมื่อคดีมีการชันสูตรพลิกศพ หรือมีใครเสียชีวิตระหว่างเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ ต้องสอบสวนโดยพนักงานอัยการ ร่วมกับ พนักงานสอบสวน เนื่องจากสำนวนคดีที่แจ้งความไว้เป็นการกระทำโดยพนักงานของเจ้าพนักงานสอบสวนเพียงฝ่ายเดียว พนักงานอัยการยังไม่มีส่วนร่วมด้วย อัยการจึงต้องมาร่วมสอบสวนให้ครบตามกระบวนการ และภายหลังสอบสวนเสร็จสิ้น รองอธิบดีอัยการภาค 6 ให้ข้อมูลว่ากับนักข่าวว่า วันนี้ อดีต ผกก.โจ้ พร้อมพวก ยังอยู่ในอาการสงบ ไม่มีอาการเครียด เหมือนวันแรกๆ ทุกคนให้ความร่วมมือในการสอบสวนเป็นอย่างดี

ส่วนการให้ปากคำ อดีต ผกก.โจ้ ยังยืนยันให้การภาคเสธ โดยบอกว่า กระทำจริง แต่อ้างว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่า แค่ต้องการเค้นข้อมูล ซึ่งการให้ปากคำลักษณะนี้ เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ แต่ทางอัยการยืนยันว่า การสอบสวนครั้งนี้ไม่ใช่การเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เมื่อได้แจ้งข้อกล่าวหาไปแล้วว่า ฆ่าคนตายโดยเจตนา เล็งเห็นผลโดยทารุณโหดร้ายและทนทุกข์ทรมาน หลักการตามกฎหมายยังอยู่เหมือนเดิม เพราะการพิจารณาของอัยการ และตำรวจจะดูว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏมีลักษณะของการเจตนาที่จะฆ่าจริงหรือไม่ มีลักษณะทารุณโหดร้ายจริงหรือไม่ เจ้าหน้าที่ดูที่เจตนา และ “กรรม” หรือการกระทำ เป็นเครื่องชี้เจตนา

นอกจากนี้ รองอธิบดีอัยการภาค 6 ยังอธิบายแบบละเอียดอีกครั้งถึงพฤติการณ์ของอดีต ผกก.โจ้ ว่าตามหลักฐานที่ปรากฏ ทำไมใช้ถุงคลุมศีรษะเหยื่อถึง 6 ชั้น มีการขันชะเนาะหลายรอบ ทำให้รอบคอมีรอยแดง ซึ่งเป็นลักษณะการใช้ความรุนแรง ส่วนประเด็นไบโพลาร์ ท่านอธิบายชัด และยืนยันว่า ไม่ว่าผู้ต้องหาจะกล่าวอ้างว่าอย่างไร จะปฏิเสธอย่างไร แต่เจ้าหน้าที่เชื่อในหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เชื่อในข้อมูลของแพทย์ผู้ชำนาญการที่มีหน้าที่โดยตรง ไม่ใช่คำกล่าวอ้างลอยๆ ของผู้ต้องหา ฟังแล้วค่อนข้างชัดเจน แต่คดีจะพลิกอีกหรือไม่ ต้องรอติดตาม ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า กำลังเร่งทำสำนวนการสอบสวน และชันสูตรพลิกศพให้เสร็จ คาดไม่เกิน 30 วัน สามารถส่งสำนวนต่อศาลให้พิจารณาคดีได้ ส่วนข้อกล่าวหา ย้ำว่ายัง 3 ข้อเหมือนเดิม คือ ฆ่าคนตายโดยทรมานโหดร้าย หน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุแก่ความตาย เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบโดยกฎหมาย


ส่วนความเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ยังมีข้อสงสัยหลายประเด็น วันนี้ กมธ.กฎหมาย ที่มีนายสิระ เจนจาคะ เป็นประธาน จึงได้เชิญผู้เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง นำทีมโดยพลตำรวจเอกสุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจตรีเอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พลตำรวจตรี ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ และแพทย์นิติเวช เข้าร่วม

ทันทีที่เริ่มประชุม นายสิระ ได้สอบถามตำรวจว่า คดีนี้ มีการช่วยเหลือผู้ต้องหาในระหว่างดำเนินการจับกุมหรือไม่ ซึ่งพลตำรวจเอกสุชาติ ยืนยันคดีนี้ดำเนินการทุกอย่างตามกฏหมาย ไม่ได้ช่วยเหลือผู้กระทำผิด ขณะที่ พลตำรวจตรีเอกรักษ์ ยอมรับเคยพบ และรู้จักกับ อดีต ผกก.โจ้ มาก่อนบ้าง แต่ไม่ได้สนิท พร้อมย้ำคำเดิมคืนก่อนมอบตัว อดีต ผกก.โจ้ ได้โทรมาหาและร้องไห้บอกว่าอยากตาย ทำให้ต้องบอกไปว่า อย่าคิดสั้นควรต้องรับผิดชอบ ส่วนเรื่องป้ายทะเบียนยอมรับไม่ได้โฟกัสจริงๆ เพราะสมาธิอยู่ที่ตัวผู้ต้องหา

ส่วนนายน้ำแท้ มีบุญสล้าง ผอ.สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาการสอบสวนฯ และดำเนินคดี สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงประเด็นการเสียชีวิตของเหยื่อ ว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 กำหนดให้พนักงานสอบสวนต้องส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพไปยังพนักงานอัยการทันที แต่ตำรวจที่ทำคดีนี้ไม่ได้ดำเนินการทันที เมื่ออัยการลงไปทำคดี จึงสั่งให้ชันสูตรใหม่ทั้งหมด เพราะที่ทำมานั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนับว่า โชคดีที่แพทย์ทำรายงานยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แม้ว่าจะได้รับคำให้การเท็จมาจากตำรวจในตอนแรก และยังโชคดีที่แพทย์ได้ผ่าพิสูจน์ไว้อย่างละเอียด ทำให้การชันสูตรใหม่ ผลออกมาสอดคล้องกับพยานหลักฐาน และกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ

เรื่องคดีก็ต้องตามกันต่อ แต่ประมวลจริยธรรมข้าราชการตำรวจ ที่เว็บไซต์ราชกิจจาเผยแพร่ มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งรายละเอียดมี 5 ข้อใหญ่ 7 ข้อย่อย โดยข้อใหญ่ที่น่าสนใจ คือ ข้อ 2 ที่เป็นประเด็นในการรักษาจริยธรรม มีการระบุไว้ว่า ต้องยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ ด้วยการแสดงออกถึงความภูมิใจในชาติและรักษาผลประโยชน์ของชาติ ซื่อสัตย์สุจริต ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่แสดงออกถึงพฤติกรรมที่มีนัยเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ กล้าตัดสินใจและยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม กล้าคัดค้าน และแก้ไขสิ่งไม่ถูกต้องตามอำนาจหน้าที่ ไม่คบหาหรือให้การสนับสนุนผู้ประพฤติผิดกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม ปราศจากอคติ ดำรงตนเป็นแบบอย่างด้วยการเป็นข้าราชการที่ดี รักษาภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

รฟท.เร่งกู้รถไฟตกรางที่กุยบุรี คาดเสร็จภายในเที่ยงคืนนี้

ประจวบคีรีขันธ์ 9 ส.ค. – รฟท.เร่งกู้รถไฟตกรางที่กุยบุรี คาดเสร็จสิ้นภายในเที่ยงคืนนี้ ด้าน พฐ.ร่วมตรวจหาสาเหตุตกรางกับนายช่างรถไฟ สันนิษฐานเบื้องต้นนอตล็อกประแจสับรางหลุด ส่วนผู้บาดเจ็บ 10 ราย ออกจาก รพ.แล้ว ความคืบหน้าเหตุรถไฟขบวนด่วนพิเศษ สุไหงโก-ลก ปาดังเบซาร์ ปลายทางสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ประสบอุบัติเหตุตกราง ก่อนถึงสถานีรถไฟกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 100 เมตร เหตุเกิดเมื่อช่วงตี 5 วันนี้ โดยตู้โดยสารที่เกิดเหตุคือ 3 ตู้สุดท้าย 10-12 ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 10 คน นำส่งโรงพยาบาลกุยบุรี ผู้โดยสารตู้ที่ตกราง เจ้าหน้าที่จัดรถบัสนำส่งต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ส่วนตู้โดยสารที่ไม่ตกราง เดินทางต่อจนถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ล่าสุดตำรวจ สภ.กุยบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่ตรวจหาสาเหตุรถไฟตกราง ร่วมกับนายช่างวิศวกรของการรถไฟฯ อีกครั้ง จากการตรวจสอบสันนิษฐานเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากนอตยึดอุปกรณ์ประแจตัวสับรางหลุด ขณะที่ขบวนรถไฟวิ่งผ่านไปแล้ว 9 ตู้ เหลือ 3 ตู้สุดท้าย ทำให้ไม่สามารถบังคับให้วิ่งตามไปด้วยกันได้ จึงถูกกระชากหลุดด้วยแรงเฉื่อยของความเร็วรถไฟแล้วตกจากราง หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ […]

“บุ๋ม” รับผ้ายันต์-เหรียญครุฑ หลวงพ่อวราห์ แจกทหารชายแดน

9 ส.ค. – “บุ๋ม ปนัดดา” เริ่มภารกิจโฆษกจิตอาสา ศบ.ทก. วันแรก เข้ารับผ้ายันต์-เหรียญครุฑ จากหลวงพ่อวราห์ นำไปมอบให้ทหารชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างขวัญกำลังใจแนวหน้า บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี โฆษกจิตอาสา ศบ.ทก. ที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือบิ๊กเล็ก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่งตั้ง เข้าพบหลวงพ่อวราห์ พระเทพวชิระวิทยานุสิฐ วราห์ ปุญฺญวโร ตำนานผู้สร้างพญาครุฑ เพื่อรับผ้ายันต์และเหรียญครุฑ ไปแจกให้ทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจทหารแนวหน้า บุ๋ม ปนัดดา กล่าวว่า ได้รับการประสานจากหลวงพ่อวราห์ ให้เข้ามารับผ้ายันต์และเหรียญครุฑ นำไปมอบให้กับทหารชายแดน เพราะทหารต้องการขวัญและกำลังใจ ดังนั้น อะไรที่ทำให้ทหารอุ่นใจและมีกำลังใจก็จะทำให้ สำหรับผ้ายันต์หลวงพ่อวราห์ แห่งวัดโพธิ์ทอง บางมด กรุงเทพฯ ผ้ายันต์รุ่นบูชาครู จำนวน 2,000 ผืน และเหรียญครุฑ รุ่นเฉพาะกิจ จำนวน 2,000 เหรียญ ที่บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี […]

“มาริษ” เผยเห็นภาพชัดขึ้น หลังลงพื้นที่เสียหาย จ.สุรินทร์

สุรินทร์ 9 ส.ค.- “มาริษ” เผยเห็นภาพชัดขึ้น หลังลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ สำรวจความเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา เตรียมใช้เป็นข้อชี้แจงนานาชาติ กัมพูชาใช้อาวุธระยะไกลโจมตีพื้นที่พลเรือน ยันพร้อมประสานให้ ICRC – UN มาดูพื้นที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังการลงพื้นที่สำรวจความเสียหายที่จังหวัดสุรินทร์ จากเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ว่า เรื่องข้อมูลของการละเมิดสิทธิ และละเมิดกฎสหประชาชาติกฎหมายระหว่างประเทศของกัมพูชา เรามีข้อมูลครบถ้วนอยู่แล้ว เมื่อวันนี้ได้มาเห็นสภาพจริง และมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ได้เห็นภาพนอกเหนือจากข้อมูล ก็เป็นภาพที่เห็นชัดเจน รวมถึงการบรรยายสรุปของผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่อธิบายให้เห็นการโจมตีเป้าหมายที่ห่างไกลออกจากเขตแดน ซึ่งตนเองใช้เป็นข้อชี้แจงกับนานาชาติ และองค์กรสหประชาชาติว่าการใช้ประเภทอาวุธระยะไกลของฝ่ายกัมพูชาจะทำให้เกิดปัญหา และจะทำให้ประชาชนพลเรือนได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเป็นการโจมตีเป้าหมายไปยังพลเรือน แต่ยังไม่สามารถเข้าไปดูพื้นที่กับระเบิด และวันนี้ทราบว่ามีทหารเหยียบกับระเบิดที่วางอยู่ตามแนวชายแดน โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง และแสดงความผิดหวัง และไม่ปราถนาที่จะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างกันให้สำเร็จอย่างยั่งยืน ส่วนนี้เราจะแสดงจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้อาวุธ หรือทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา อย่างชัดเจน นายมาริษ กล่าวว่าการเดินทางมาครั้งนี้ ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในสิ่งที่เราเรียกร้องมาโดยตลอด ว่าเราทำตนอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และได้แสดงตนให้ประชาคมโลก […]

ทบ.ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิด สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน

กรุงเทพฯ 9 ส.ค. – โฆษก ทบ. ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนเส้นทาง พื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บ 3 นาย สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า วันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 กรณีกำลังพลของหน่วยกองร้อยทหารราบที่ 111 เหยียบกับระเบิด ขณะทำการลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ 1. จ่าสิบเอก ธานี พาหา ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ป้องกัน บาดเจ็บรุนแรง ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด2. พลทหาร ภาคภูมิ ไชยสุระ ตำแหน่งพลปืนเล็ก บาดเจ็บบริเวณแขนและด้านหลัง3. พลทหาร ธนันชัย ไกรวงค์ […]