รวบ 3 นักโทษแหกคุก ตร.ตามล่าอีก 1 ราย

เพชรบูรณ์ 19 ก.ค.- 4 นักโทษเรือนจำจังหวัดเพชรบูรณ์แหกคุก ล่าสุดตำรวจตามรวบตัวได้แล้ว 3 คน เหลืออีก 1 คน เชื่อยังหลบหนีอยู่ในพื้นที่ ตั้งรางวัลนำจับ 1 แสนบาท


เมื่อช่วง 04.30 น. ของวันนี้ (19 ก.ค.) เกิดเหตุนักโทษชาย จำนวน 4 คน แหกคุกหนีออกจากเรือนจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วย 1.นายวัชรินทร์ จันทร์บูรณ์ อายุ 35 ปี 2. นายภัทรดนัย หรือราชันย์ สื่อศิริธำรงค์ อายุ 40 ปี 3.นายธนดล ตันติวนิชย์เจริญ อายุ 18 ปี 4.นายกฤษฎา คงขาว อายุ 21 ปี ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ต้องหายาเสพติด

ช่วงก่อนเที่ยง สามารถจับกุมตัวได้แล้ว 1 ราย คือ นักโทษชายวัชรินทร์ จันทร์บูรณ์ ซึ่งสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณริมถนนสระบุรี-หล่มสัก บริเวณหน้าโรงเรียนเมืองเพชรบูรณ์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบนักโทษที่หลบหนี 1 ราย วิ่งผ่านหน้าร้านขายเฟอร์นิเจอร์ และวิ่งเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าหลังร้าน ใกล้กับโรงเรียนเมืองเพชรบูรณ์ จุดที่ผู้ต้องขังรายแรกถูกจับได้ จึงนำกำลังออกไปตรวจสอบ พบผู้ต้องขังที่หลบหนี 2 ราย นอนหลบซ่อนอยู่ในป่าหลังร้านดังกล่าว ทราบชื่อต่อมา คือ นายธนดล ตันติวนิชย์เจริญ กับนายกฤษฎา คงขาว ส่วนอีก 1 ราย ยังหาไม่พบและยังคงหลบหนีอยู่ คือ นายภัทรดนัย สื่อศิริธำรงค์


จากการสอบสวนเบื้องต้น ทั้งคู่ให้การว่า เมื่อคืน นายภัทรดนัย ได้ชักชวนให้พวกตนหลบหนีด้วย ตนจึงตามนายภัทรดนัยออกมา โดยนายภัทรดนัย เป็นคนวิ่งนำหน้า กระทั่งมาถึงโรงเรียนเมืองเพชรบูรณ์ นายภัทรดนัย ซึ่งเป็นคนพื้นที่ ได้หลบหนีไป ตนไม่รู้จักพื้นที่จึงหลบอยู่ในพงษ์หญ้าหน้าโรงเรียน และเห็นว่าเจ้าหน้าที่ได้ออกติดตามจึงนอนนิ่งอยู่ในป่าหญ้า กระทั่งบ่ายเห็นว่าไม่มีเจ้าหน้าที่แล้ว จึงวิ่งออกจากจุดซ่อนตัวไปตามข้างถนนสระบุรี-หล่มสัก และวิ่งไปซ่อนอยู่หลังร้านขายเฟอร์นิเจอร์ จนกระทั่งมาถูกจับได้ดังกล่าว

พลเมืองดีที่โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดเผยว่า ขณะที่ตนเองกำลังทำงานอยู่หน้าร้านเฟอร์นิเจอร์ ได้เห็นคนร้ายวิ่งผ่านหน้าร้าน และทราบว่าเป็นผู้ต้องขังที่กำลังหลบหนี จึงตะโกนให้คนช่วยกันจับ คนร้ายจึงเข้ามาใช้ไขควงทำท่าจะแทงตน ตนจึงร้องให้คนช่วย คนร้ายจึงวิ่งหลบหนีไปหลังร้าน ตนจึงรีบแจ้งให้เจ้าของร้านโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

ด้าน พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน ผบก.ภ.จว.เพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ต้องขังที่หลบหนียังคงเหลืออีก 1 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกปูพรมค้นหากดดัน พร้อมตั้งรางวัลนำจับ 1 แสนบาท เชื่อว่ายังคงหลบหนีอยู่ในพื้นที่ และคาดว่าจะสามารถจับกุมตัวได้ในเร็วๆ นี้.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์

“นายกฯ แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ รับมือความท้าทาย ชูจุดเด่นไทยอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาคการเกษตรที่เข้มแข็งดึงดูดนักลงทุน บอกกระตุ​้นเศรษฐกิจ​แจกเงินหมื่นเฟส​ 2 พุ่งเป้าเงินสะพัด ลั่น​จุดยืนไทยวางตัวเป็นทูตสันติภาพ พร้อมปรับตัวตามนโยบาย “ทรัมป์”