สมุทรปราการ 6 ก.ค.- ความคืบหน้าเหตุไฟไหม้โรงงานในซอยกิ่งแก้ว 21 หลังจากเจ้าหน้าที่สามารถคุมเพลิงได้ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังอยู่ ส่วนชาวบ้านที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียงส่วนหนึ่งกลับเข้าไปดูความเสียหายแล้ว
แม้จะควบคุมเพลิงได้แล้ว แต่ตลอดทั้งวันนี้ เจ้าหน้าที่ยังคงพยายามวางแผนหาทางที่จะดับไฟให้ได้สนิท เพราะยังคงมีสารเคมีที่อาจจะยังติดไฟได้อยู่ ขณะที่วันนี้แม้จะยังไม่มีประกาศทางการให้ชาวบ้านในรัศมใกล้เคียงกลับเข้าบ้าน แต่ก็พบว่ามีส่วนหนึ่งกลับเข้าไปดูความเสียหายในบ้านแล้ว
ตลอดทั้งวันเจ้าหน้าที่ยังคงต้องเฝ้าระวังไม่ให้ไฟที่เผาไหม้ในโรงงานซอยกิ่งแก้ว 21 กลับมาปะทุอีกครั้ง เพราะยังคงมีสารเคมีภายในโรงงานที่อาจจะก่อให้เกิดไฟไหม้ได้อีก ทำให้วันนี้มีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาวางแผนโดยระบุว่าจะพยายามเคลื่อนย้ายสารเคมีที่ยังเหลืออยู่ออกไป เพื่อไม่ให้ไฟกลับมาไหม้อีก โดยอยู่ระหว่างการประเมินว่าจะใช้วิธีการใด ซึ่งข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ที่ลงพื้นที่พร้อมเครื่องมือในการตรวจสอบคุณภาพอากาศ คุณภาพน้ำ และสารอันตรายในพื้นที่ที่เกิดเหตุ ระบุว่าในรัศมี 1 กิโลเมตรแรก จะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ซึ่งสารเคมีที่ต้องระวังคือ โซเวนต์ ที่ติดไฟได้ง่าย และสารสไตรีนโมโนเมอร์ ใช้เป็นองค์ประกอบทำเม็ดพลาสติก เมื่อเกิดลุกไหม้ไฟจะปล่อยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่จากการตรวจสอบอากาศเบื้องต้นยังไม่พบระดับสารในอากาศที่เป็นอันตราย แต่ยังต้องเฝ้าระวัง ขณะนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หากมีกรณีฝนตกลงมา อาจจะชะสารเคมีลงใต้ดิน แหล่งน้ำ หรือท่อระบายน้ำ ซึ่งจะยากต่อการควบคุม ซึ่งอาจจะต้องเข้าไปบำบัดเพื่อแก้ปัญหาต่อไป
ขณะที่ช่วงบ่ายวันนี้ ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจชุมชนรัศมีใกล้กับโรงงานจุดเกิดเหตุ ที่ชุมชนคลองปากน้ำ ต.บางพลีใหญ่ ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงานที่เกิดเหตุเพียง 200 เมตร พบว่ามีบ้านเรือนเสียหายนับสิบหลัง ชาวบ้านหลายคนกลับเข้ามาสำรวจความเสียหายในบ้านและช่วยกันซ่อมแซม โดยเฉพาะบริเวณหลังคา และฝ้าเพดาน ที่พังถล่มลงมาเสียหายในคืนที่เกิดเหตุ หลายคนบอกว่า แม้ว่าจะกังวลกับสถานการณ์ หลังจากเมื่อคืนไปนอนที่ศูนย์อพยพ แต่หลายคนบอกว่า เป็นห่วงบ้าน กลัวของหายและกลัวว่าฝนจะตก ข้าวของจะเสียหายไปกว่านี้ จึงจำเป็นต้องกลับเข้ามา
ขยับมาดูอีกจุดด้านในจะเห็นความเสียหายที่ชัดเจนยากแรงระเบิด ซึ่งแม้ว่า จะควบคุมเพลิงไว้ได้แล้วแต่ จะเห็นว่าจนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังคงต้องใช้โฟมดับไฟเลี้ยงไว้ไม่ให้ปะทุขึ้นมาอีก.-สำนักข่าวไทย