สมุทรสาคร 15 มิ.ย. – อุทาหรณ์! สุนัขพิตบูลหลุดออกจากบ้าน ขย้ำแขนเด็กวัย 3 ขวบ บาดเจ็บ พ่อแม่เด็กเคลียร์เจ้าของสุนัขไม่ลงตัว
หลังสุนัขพิตบูลกัดเด็กหญิงวัย 3 ขวบ พ่อและแม่ของเด็กต้องการให้เป็นอุทาหรณ์เตือนผู้ที่เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ดุว่า ให้ระวังการดูแลเลี้ยงสุนัข และไม่อยากให้มีการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ดุร้ายในหมู่บ้านหรือชุมชนที่มีเด็กเล็กอาศัยอยู่จำนวนมาก ในการนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปพบกับนายกัลป์พล คุณนุช อายุ 34 ปี และ น.ส.ศิริมาศ คุณนุช อายุ 33 ปี พ่อแม่ของน้องเปียโน เด็กหญิงวัย 3 ขวบเศษ ที่ถูกสุนัขพิตบูลสีขาว ไม่ทราบเพศ ซึ่งเป็นสุนัขที่เพื่อนบ้านในซอยเดียวกันเลี้ยงไว้แล้วหลุดออกมาจากบ้านพัก ก่อนจะวิ่งเข้ามาขย้ำกัดที่แขนของเด็ก 3 แผล ขณะขี่รถจักรยานยนต์เด็กเล่นอยู่บริเวณถนนหน้าบ้านของหนูน้อย จนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 17.45 น. ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พื้นที่หมู่ที่ 3 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร
นายกัลป์พล และ น.ส.ศิริมาศ พ่อแม่น้องเปียโน เล่าว่า ในวันเกิดเหตุ แม่พาน้องเปียโนออกมาขี่มอเตอร์ไซค์สำหรับเด็กเล่นที่บริเวณถนนหน้าบ้านตนเอง ส่วนพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน สักพักเดียวช่วงที่แม่หันหลังให้ลูก ก็มีสุนัขพิตบูลสีขาวที่เพื่อนบ้านเลี้ยงไว้ หลุดออกมาจากประตูรั้ว แล้วก็วิ่งเข้ามาขย้ำกัดลูกสาวจนล้มลงจากรถเด็กที่ขี่อยู่ ซึ่งแม่และพ่อของลูกได้รีบเข้าไปไล่สุนัขให้ออกจากลูก ก่อนที่แม่จะเป็นคนเข้าไปอุ้มลูกสาวขึ้นมากอดแนบไว้ในอก เพราะน้องเปียโนขวัญเสียมาก ส่วนพ่อก็พยายามไล่สุนัขที่จะวิ่งกลับเข้าไปขย้ำลูกสาวไม่หยุด หลังเกิดเหตุ ครอบครัวพาลูกสาวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล นอนพัก 3 วัน 4 คืน ครั้นพอกลับมาบ้าน ลูกสาวก็เอาแต่ร้องไห้ สะดุ้งผวา และบอกว่ากลัว ไม่ยอมนอน จะไปอยู่บ้านยาย จนในที่สุดก็ต้องพาไปพักฟื้นที่บ้านของคุณยาย
ส่วนทางคู่กรณีเจ้าของสุนัขเคยได้มาพูดคุยบ้าง บอกว่ายอมรับผิดที่สุนัขหลุดออกมาจากบ้านแล้ววิ่งเข้ามากัดลูกสาว เหตุเพราะทางเจ้าของสุนัขปิดประตูรั้วบ้านไม่สนิท ทำให้สุนัขหลุดออกมาทำร้ายเด็ก ซึ่งต่อมาก็ได้ทำที่กั้นสุนัขไว้แล้ว แต่ตนเห็นว่าแค่นั้นคงยังไม่ปลอดภัย จึงขอให้เจ้าของนำสุนัขออกไปอยู่ที่อื่น อย่าไว้ในหมู่บ้านที่มีเด็กอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากแบบนี้ เพราะไม่รู้ว่าวันไหนจะหลุดออกมาทำร้ายได้อีก ซึ่งทางเจ้าของบ้านที่มีอยู่ 2 คนนั้น คนหนึ่งยอม แต่อีกคนหนึ่งกลับมีทีท่าไม่ยอม ทำให้หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่เด็กเสียความรู้สึก และกังวลเป็นอย่างมากว่า นับแต่นี้ชีวิตของลูกตนจะไม่มีความปลอดภัยอีกแล้ว แม้จะเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านของตนเอง หากวันนั้นไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ลูกสาวของตนซึ่งเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ จะเป็นอย่างไร เพราะด้วยนิสัยของสุนัขพิตบูล เป็นสุนัขสายพันธุ์ดุร้าย หากได้กัดเหยื่อแล้วต้องกัดจนกว่าเหยื่อจะแน่นิ่ง
คุณพ่อของน้องเปียโน ในฐานะผู้เสียหาย บอกอีกว่า หลังเกิดเหตุ ตนได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร แล้ว โดยส่วนตัวเพียงแค่ต้องการให้เจ้าของนำสุนัขสายพันธุ์ดุแบบนี้ออกไปไว้ที่อื่น ห่างไกลจากคนในหมู่บ้านที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษานั้น เป็นเรื่องของคดีความที่จะต้องดำเนินการรับผิดชอบตามกฎหมายอยู่แล้ว อีกทั้งตนยังได้ทำเรื่องไปยังส่วนกลาง ขอให้มีการสำรวจและวางระเบียบการเลี้ยงสุนัขดุ หรือสัตว์เลี้ยงสายพันธุ์ดุร้ายในหมู่บ้านไว้อย่างชัดเจน เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหานี้กับลูกหลาน หรือครอบครัวอื่นอีก และสุดท้ายคือ อยากให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาควบคุมเรื่องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่ดุร้ายภายในหมู่บ้านหรือชุมชนด้วย
ด้านนายจุฑาวัชร วิชกูล อายุ 30 ปี เจ้าของสุนัขพันธุ์พิตบูล ยอมรับว่า ในวันเกิดเหตุ ตนเองออกไปทำธุระ พอกลับเข้าบ้านมาก็ปิดประตูเหมือนทุกครั้งที่ทำเป็นประจำ เพราะคิดว่าปิดสนิทดีแล้ว จึงไม่ได้หันไปดูซ้ำ แต่จริงๆ แล้วมันยังไม่สนิท จึงทำให้สุนัขที่วิ่งเล่นอยู่ในบ้านลอดช่องออกไปได้ จากนั้นตนก็ไปล้างจานหลังบ้าน กระทั่งได้ยินเสียงคนร้อง จึงวิ่งออกมาดู เห็นว่าสุนัขของตนออกไปกัดน้อง ก็เลยรีบเข้าไปจับสุนัขไว้แล้วพาเข้าบ้าน ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยส่วนตัวแล้วพร้อมดูแลรักษาน้องให้ดีที่สุด ซึ่งหลังเกิดเหตุก็ได้แวะไปเยี่ยมเยียน และพร้อมที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด ส่วนเรื่องของสุนัขที่กัดเด็กนั้น ขณะนี้ตนได้ทำคอกกั้นสุนัขไว้หลังบ้านแล้ว และยืนยันว่าไม่เคยปล่อยปละละเลยสุนัขที่ตนเองเลี้ยงไว้ ส่วนที่สุนัขวิ่งออกไปกัดเด็กนั้น เชื่อว่าอาจจะมาจากพฤติกรรมฝังใจของสุนัขที่เคยได้ยินเสียงเด็กๆ ในหมู่บ้านปั่นจักรยานมาส่งเสียงดังรบกวน ครั้นพอได้ยินเสียงน้องเล่นอยู่ จึงทำให้สุนัขเกิดความหงุดหงิดแล้ววิ่งไปกัด
ส่วนที่ต้องมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่โรงพักนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตนไม่เคยปล่อยปละละเลยในการเลี้ยงสุนัข และไม่เคยคิดที่จะปัดความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตามข้อเรียกร้องของพ่อแม่เด็กที่ต้องการให้นำสุนัขไปไว้ที่อื่น แม้จะมองว่าเป็นทางออกทางหนึ่งตามความต้องการของคู่กรณี แต่ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกตนและสุนัขที่เลี้ยงไว้ เพราะหากนำไปไว้ที่อื่นแล้วใครจะเลี้ยงดูและเข้าใจสุนัขเหล่านี้ได้ดีเท่ากับเจ้าของที่เลี้ยงมันมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ซึ่งก็คงต้องมีการเจรจาหาข้อตกลงและเป็นทางออกที่ดีที่สุดกับทั้งสองฝ่ายต่อไป. – สำนักข่าวไทย