ชลบุรี 12 พ.ย.- เหตุยิง 2 ศพเหตุทะเลาะกันเพราะหมา ตำรวจตั้งข้อหาหนักฆ่าผู้อื่น ขณะที่ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตขอให้ตำรวจดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ขณะที่ผู้ต้องหาไม่ยอมไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพเกรงถูกรุมประชาทัณฑ์
ความคืบหน้าเหตุยิงกันตายเพราะเรื่องสุนัข เมื่อนายจิรัฎฐ์ วุฒิมานานนท์ อายุ 49 ปี ได้ใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิง 2 สามีภรรยาคือ นายโยธิน แก้วฝายนอก อายุ 39 ปี และ น.ส.บุญญาณี แก้วฝายนอก อายุ 38 ปี เสียชีวิตที่บริเวณหน้าบ้านเช่าดังกล่าว เหตุเนื่องจากสุนัขเห่าเสียงดังสร้างความรำคาญให้กับนายจิรัฎฐ์ และเจ้าของหมาไม่ยอมไปห้าม ไม่ให้หมาเห่า นายจิรัฎฐ์จึงคว้าปืนออกมาและถกเถียงกัน จึงได้ใช้ปืนยิงไปหลายนัดทำให้เสียชีวิตดังกล่าว หลังจากนั้นได้วิ่งไล่ยิงทั้งคนและสุนัขหลายนัด
พ.ต.ท.สมนึก มุมทอง เจ้าของคดีกล่าวถึงการดำเนินคดีนายจิรัฎฐ์ มือปืนว่า ขณะนี้ได้ตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้ขออนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมืองและหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ใช้อาวุธปืนมีดินระเบิดในหมู่บ้าน และผู้ต้องหาให้การรับสารภาพและได้ควบคุมตัวไว้แล้ว ส่วนการทำแผนทางผู้ต้องหาไม่ยินยอมเนื่องจากเกรงว่าจะถูกรุมประชาฑัณฑ์ ซึ่งทางตำรวจได้นำตัวไปฝากขังที่เรือนจำกลางชลบุรีแล้ว และฝากถึงผู้ที่มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองถ้ามีแล้วอย่าใจร้อน เพราะถ้าใจร้อนก็จะมีการสูญเสียและตัวเองก็จะต้องติดคุก
ส่วนบรรยากาศที่โรงพยาบาลชลบุรี สถานที่รับศพ 2 สามีภรรยา มีญาติและเพื่อนสนิท ได้มารอรับศพ เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญกุศล โดย 1 ในญาติผู้เสียชีวิตทั้งสอง ได้เผยความในใจว่าคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ ใจคอโหดร้ายมาก รู้ว่าทั้งสองฝั่งต่างมีเรื่องราวระหองระแหงกับคู่กรณี เนื่องจากอยู่บ้านติดกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะก่อเหตุถึงขั้นต้องฆ่ากัน ผู้ตายทั้งสองก็เป็นคนดี อุปนิสัยร่าเริง ไม่มีพิษมีภัยกับใคร ไม่น่าจะต้องมาเสียชีวิตแบบนี้ เป็นใครก็รับไม่ได้มันโหดเหี้ยมเกินไป อยากให้ตำรวจดำเนินคดีให้ถึงที่สุดประหารชีวิตไปเลย
ด้านนายฮาซิม ตะโละดิม เจ้าพนักงานคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดชลบุรี ได้เดินทางมาให้กำลังใจและตรวจสอบพร้อมพูดคุยกับญาติผู้เสียชีวิต โดยระบุว่า ทางยุติธรรมจังหวัดชลบุรี ทราบข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ได้เดินทางมาแนะนำในการได้รับสิทธิของผู้เสียชีวิต ในกรณีที่ผู้เสียชีวิตทั้งสองราย ถูกกระทำโดยไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ จะได้เงินเยียวยารายละ 110,000 บาท.-สำนักข่าวไทย