เผาหีบสมบัติส่งเทพเจ้าขึ้นสวรรค์ สิ้นสุดเทศกาลกินเจ

สมุทรสงคราม 26 ต.ค.-ชาวไทยเชื้อสายจีนใน จ.สมุทรสงคราม ร่วมเผาหีบมหาสมบัติขององค์เทพเจ้า พร้อมเครื่องบูชารวมเกือบ 1 ล้านบาทและจุดประทัดกว่า 1 ล้านนัด สนั่นลำน้ำแม่กลอง เพื่อส่งเทพเจ้ากิ้วฮ้วงฮุกโจ้ขึ้นสวรรค์ เป็นอันสิ้นสุดเทศกาลถือศีลกินเจ

เมื่อเวลา 23.39 น. ที่ผ่านมา ที่ศาลเจ้านาจาซาไท้จื้อเอี๊ยกง ตำบลบ้านปรก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ชาวไทยเชื้อสายจีนแต่งชุดขาวร่วมพิธีเดินธูปรอบๆ ศาล เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและยังเป็นการเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต พร้อมทั้งข้ามสะพานศุภมงคลปทีปขึ้นไปขอพรต่อเง็กเซียนฮ่องเต้ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดตามความเชื่อของชาวจีน ที่จะประทานพรให้ผู้เข้าร่วมถือศีลกินเจประสบความสำเร็จ จากนั้นได้ร่วมพิธีเผาหีบมหาสมบัติขององค์เทพเจ้า หรือเซฟสวรรค์ ขนาดกว้าง 3.5 เมตร ยาว 6 เมตร สูง 1.5 เมตร ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสมุทรสงคราม โดยด้านหน้าจะเขียนอักษรจีนตัวหกแปลว่าบุญวาสนา และด้านหลังตัวใช้ แปลว่าโชคลาภ และด้านบนทั้ง 2 ด้านจะมีภาษาจีนเขียนว่ากิ๋วฮวงฮุกโจ้ป๋อโค่ว แปลว่าหีบมหาสมบัติของกิ้วฮ้วงฮุกโจ้ว โดยเผาหีบดังกล่าวกลางคลองแม่กลองพร้อมเครื่องบูชาต่างๆเช่นโคมไฟ, ชุดเทพเจ้า, แจกัน, กระดาษเงิน,กระดาษทองนับหมื่นชิ้น รวมมูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท และยังจุดประทัดกว่า 1 ล้าน ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันถวายส่งเทพเจ้ากิ้วฮ้วงฮุกโจ้ขึ้นสวรรค์ ตามความเชื่อของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นอันสิ้นสุดเทศกาลถือศีลกินเจประจำปี 2563


นายสุวโรจน์ ถิรธนาเจริญวงศ์ ประธานศาลเจ้านาจาซาไท้จื้อเอี๊ยกง กล่าวว่า ทุกปีที่ผ่านมาทางศาลจะสร้างเรือสำเภาที่ใหญ่และสวยที่สุดในประเทศไทย แต่เนื่องจากปีนี้เกิดปัญหาโควิด-19 ประชาชนได้รับความเดือดร้อน มีปัญหาเรื่องการใช้จ่าย ไม่มีเงินเหลือเก็บ ดังนั้นเทพเจ้านาจาซาไท้จื้อเอื้อกง จึงบัญชาให้สร้างหีบมหาสมบัติขององค์เทพเจ้า หรือเซฟสวรรค์ เพื่อเป็นกุศโลบายให้เก็บออมทรัพย์สมบัติไว้ใช้ในยามจำเป็นไม่เดือดร้อนในภายหน้า

คืนสุดท้ายของประเพณีถือศีลกินเจ หรือกินผัก จังหวัดตรัง ที่ศาลเจ้ากิวอ่องเอี่ย ได้ทำพิธีส่งพระกิวอ๋องไต่เต่ ซึ่งถือว่าเป็นเทพสูงสุดของการถือศีลกินเจกลับสู่สรวงสวรรค์ถือว่าได้สิ้นสุดของเทศกาลถือศีลกินเจ ทั้งนี้ก่อนที่จะเริ่มพิธีส่งพระประชาชนผู้ถือศีลกินเจแต่งกายด้วยชุดสีขาวพร้อมด้วยธูป 1 ดอก เตรียมจุดส่งพระกิวอ๋องไต่เต่ จนล้นออกไปนอกรั้วศาลเจ้า ต้องปิดถนนท่ากลางชั่วคราว จากนั้นขบวนของพระกิวอ๋อไต่เต่ ได้ออกจากศาลเจ้าไปตามถนนท่ากลาง มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำตรังที่บ้านท่าจีน ระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร ระหว่างนั้นผู้ที่ถูกพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าจับ จะส่งเสียงร้องและแสดงอาการต่างๆ ออกมา เมื่อขบวนออกไปแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะออกจากร่าง ทำให้บุคคลเหล่านั้นหมดสติพื้นถนน ซึ่งภาษาพระเรียกว่า “พระช๊อต” ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีโอกาส 99% ที่จะได้เป็นร่างทรง หรือม้าทรงในปีต่อไป


โดยระหว่างทางที่ขบวนองค์กิวอ๋องไต่เต่ผ่าน มีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง เมื่อส่งพระกิวอ๋องไต่เต่ ลงเรือที่บ้านท่าจีนเสร็จสิ้น เรือก็จะลอยออกไปยังปากน้ำกันตัง อ.กันตัง เพื่อออกสู่ทะเลต่อไป หลังจากนั้น ขบวนที่ไปส่งพระกิวอ๋อง จะต้องเดินกลับโดยห้ามพูดและหันหลังไปดูโดยเด็ดขาด หลังจากนั้นจะมีพิธีป่ายตั๋ว ปิดประตูศาลเจ้า เพื่อเตรียมพร้อมทำความสะอาด องค์ศักดิ์สิทธิ์ โต๊ะบูชา และพื้นที่บริเวณศาลเจ้าทั้งหมด โดยจะปิดศาลเจ้า 7 วัน และในวันนี้ จะมีพิธียกเสาเต็งโกหรือโกเต็งลง

สำหรับพิธีส่งพระองค์กิวอ๋องไต่เต่ในคืนที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวและประชาชนชาวตรัง นับ 1 หมื่นคน ร่วมพิธีอย่างเนืองแน่น.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ล่าหนุ่มโมร็อกโก ฆ่าโหดหมอแซมมี่ เผ่นหนีฮ่องกง

ตำรวจประสานตำรวจสากล เร่งล่าตัวแฟนหนุ่มชาวโมร็อกโก ผู้ต้องสงสัยฆ่าโหดหมอแซมมี่ แพทย์ความงามสาวสอง เจ้าของคลินิกเวชกรรมชื่อดังเชียงใหม่ พบเผ่นหนีไปฮ่องกงแล้ว

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชักชวนลงทุนซิมและตู้เติมเงิน อ้างสิทธิ กสทช. พบมีผู้เสียหาย 5,000 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,000 ล้านบาท

รถตู้กลับจากแข่งเรือเสียหลักชนต้นไม้ ดับ 4 เจ็บ 9

สลด! รถตู้กลับจากแข่งเรือยาวที่ จ.ปทุมธานี เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ บนถนนสายลำปาง-งาว จ.ลำปาง เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 9 ราย

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

สถาบันประสาทฯ ชี้นวดต้นคอเสี่ยงอันตราย เหตุเป็นศูนย์รวมอวัยวะสำคัญ

สถาบันประสาทวิทยา ชี้นวดต้นคอเสี่ยงอันตราย เพราะเป็นศูนย์รวมอวัยวะสำคัญ มีทั้งหลอดเลือด และกระดูก ไม่ได้มีแต่กล้ามเนื้อ นวดผิดชีวิตเปลี่ยน ตั้งแต่อัมพฤกษ์ อัมพาต จนเสียชีวิต

“แม่น้องผิง” ติดใจการตายของลูกสาว วอนร้านนวดรับผิดชอบ

แม่นักร้องสาว “ผิง ชญาดา” ติดใจการเสียชีวิตของลูกสาว อยากให้เจ้าของร้านนวดแสดงความรับผิดชอบ เผยมีลูกสาวคนเดียว เป็นเสาหลักของครอบครัว ด้านเพจ “หมอไทยสตอรี่” เตือนนวดบริเวณคอผิดวิธี เสี่ยงเส้นเลือดเสียหาย-กระดูกสันหลังเคลื่อน-เส้นประสาทถูกทำลาย แนะหากมี 4 อาการหลังนวด ควรพบแพทย์ด่วน

ตร.ทองหล่อ บุกทลายปาร์ตี้ไฮโซกลุ่มลับ พบยาเสพติด

ตำรวจทองหล่อบุกทลายปาร์ตี้ไฮโซกลุ่มลับในโรงแรมย่านคลองเตยเหนือ พบกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ตรวจค้นพบยาเค ยาอีจำนวนหนึ่ง จึงคุมตัวนักท่องเที่ยวทั้งหมดไปตรวจหาสารเสพติด

อุทาหรณ์นวดบิดคอ! นักร้องสาวเสียชีวิตแล้ว

อุทาหรณ์นวดบิดคอ! นักร้องสาวเข้าร้านนวดแบบบิดคอ ก่อนมีอาการตัวชา-ร่างกายอ่อนแรง กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ล่าสุดเสียชีวิตแล้ว