19 ก.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันผลตรวจสอบทุ่นระเบิดบริเวณเนิน 481 เป็นของใหม่ พบในเขตประเทศไทย คาดยังมีอีกกว่าร้อยลูกในพื้นที่
วันนี้ ที่กองบัญชาการกองกำลังสุรนารี เมื่อเวลา 15.30 น. พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 นำแถลงผลการตรวจสอบทุ่นระเบิด บริเวณเนิน 481 จ.อุบลราชธานี โดย พันเอกสมโชค จันทาสี ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 ระบุว่า ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจำนวน 7 นาย โดยจุดแรกที่เจอได้มีการวางจำนวน 3 ทุ่น ลักษณะการวางผิวดิน รัศมีห่างกัน 40 เซนซิเมตร มีใบไม้ปกคลุม ส่วนจุดที่ 2 เจอจำนวน 5 ทุ่น รัศมีการวางกระจัดกระจาย รวมที่พบทั้งหมดจำนวน 8 ลูก
ซึ่งจากการกู้ระเบิดทั้ง 8 ลูก ทุ่นระเบิดมีความใหม่ ตัวอักษรชัดเจน เพราะถ้าเป็นของเก่าจะมีวัชพืชปกคลุม ดังนั้นสรุปว่าเป็นการวางใหม่ โดยทุ่นระเบิดถูกวางในพื้นที่เขตแดนไทย ซึ่งคาดว่ายังมีอีกกว่าร้อยลูกในพื้นที่

แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ทุ่นระเบิดใหม่ที่มีการวางเลยแนวกัมพูชามา 100 – 150 เมตร หลังจากนี้จะทำรายงานไปที่กองทัพบก เพื่อส่งต่อรัฐบาล ให้กระทรวงต่างประเทศยื่นเรื่องไปที่ยูเอ็น ตามอนุสัญญาออตตาวา ยืนยันจุดที่พบการวางระเบิด เป็นเขตพื้นที่ประเทศไทยแน่นอน
ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) เตรียมนัด ศบ.ทก.ประชุมในวันพรุ่งนี้ (20 ก.ค.) เวลา 14.00 น. เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการ กรณีกำลังพลจากหน่วยร้อย ร.6021 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบกและประสบเหตุเหยียบกับระเบิด ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย
เบื้องต้น พล.อ.ณัฐพล ได้สั่งการกองทัพภาคที่ 2 เก็บข้อมูลหลักฐานทั้งหมด และรายงานผลเป็นลายลักษณ์อักษรมาให้ทราบ เนื่องจากต้องเก็บทุกอย่างเป็นหลักฐาน เพื่อส่งให้กระทรวงการต่างประเทศต่อไป
โดยวันพรุ่งนี้ (20 ก.ค.) จะมีกระทรวงการต่างประเทศเข้ามาร่วมประชุมด้วย เพื่อมาให้คำแนะนำขั้นตอนในการดำเนินการ ควรทำอย่างไร ร่วมถึงตรวจสอบข้อมูลหลักฐาน ของแต่ละฝ่ายว่าตรงกันหรือไม่ เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จะแถลงเป็นทางการในการประชุม
ส่วนแนวทางปฏิบัตินำหลักฐานฟ้องยูเอ็น ปมกัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และหากทางกัมพูชาปฏิเสธ ก็ต้องหาหลักฐานมาหักล้างข้อมูลของฝ่ายไทย ในขณะเดียวกันทางการไทยจะส่งทหารช่างเข้าไปเก็บกู้วัตถุระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทยที่บริเวณช่องบก ซึ่งปัจจุบัน ศบ.ทก. อยู่ระหว่างให้กองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลหลักฐาน ซึ่งต้องอาศัยความรัดกุม รอบคอบ รวมถึงศึกษาขั้นตอนการดำเนินการให้ละเอียดเพราะต้องอาศัยหลักฐานที่ชัดเจนถูกต้อง.-สำนักข่าวไทย