สระแก้ว 10 มิ.ย. – ทหารพราน-ตำรวจ วางกำลังแน่นตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว เพิ่มความเข้มงวดลาดตระเวน-ตั้งจุดตรวจคัดกรอง ขณะที่ตลาดโรงเกลือยังเปิดทำการ แต่บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา ด้านชาวบ้าน จ.บุรีรัมย์ เริ่มคลายกังวล ออกทำไร่ทำสวน ใช้ชีวิตปกติ
บรรยากาศบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ อ.โคกสูง และ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ยังคงเคร่งครัดมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 12-13 ตชด. จัดกำลังออกลาดตระเวนตลอดแนวชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่บ้านหนองจาน ต.โคกสูง ซึ่งอยู่ใกล้แนวชายแดนเพียงไม่กี่กิโลเมตร
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ได้เพิ่มความเข้มในการตรวจสอบตามแนวถนนสีเพ็ญ เส้นทางที่เชื่อมชายแดนไทยกับกัมพูชา ใกล้ตลาดโรงเกลือ จุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ

แม้จะมีการวางกำลังแน่นหนา แต่ในช่วงเช้าวันนี้ (10 มิ.ย.) ตลาดโรงเกลือยังคงเปิดทำการตามปกติ พ่อค้าแม่ค้านำสินค้านานาชนิดมาวางขาย เช่น เสื้อผ้า รองเท้า และของใช้ทั่วไป มีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินจับจ่ายซื้อของอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศโดยรวมยังค่อนข้างเงียบเหงากว่าช่วงก่อนหน้า เนื่องจากความวิตกของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับความปลอดภัย หลังเกิดข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ทางการมีการปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดด่านพรมแดน ส่งผลให้การเดินทางเข้า-ออกของนักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด บรรดานักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งยังคงรู้สึกไม่มั่นใจในการเดินทางเข้ามาในพื้นที่ชายแดน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือเหตุรุนแรงขึ้น
ขณะเดียวกันบริเวณด่านพรมแดนถาวรบ้านเขาดิน เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ร่วมกับทหารพรานจากหน่วยเฉพาะกิจที่ 12 ตั้งจุดตรวจคัดกรองอย่างละเอียด โดยเน้นการตรวจสอบเอกสารการเข้า-ออกของชาวกัมพูชาและนักท่องเที่ยว พร้อมตรวจค้นสัมภาระและสิ่งของต้องสงสัยอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองและการนำเข้าสิ่งผิดกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายทหารและตำรวจยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่พบสิ่งผิดปกติหรือเหตุการณ์ใดที่กระทบต่อความมั่นคง แต่จะยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน
ชาวบ้านเริ่มคลายกังวล ออกทำไร่ทำสวน
บรรยากาศที่บ้านสายโท 5 ใต้ และสายโท 6 ใต้ ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านอยู่ใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ชาวบ้านเริ่มคลายความกังวล ออกมาใช้ชีวิตทำมาหาหากิน ทำไร่ทำสวนตามปกติ หลังตัวแทนทหารทั้งสองฝ่ายเจรจาปรับกำลังออกจากจุดพิพาทช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เชื่อการปรับกำลังออกจากจุดพิพาทเป็นสัญญาณที่ดี และหวังว่าสถานการณ์พิพาทแนวชายแดนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไปมาหากันได้เหมือนเดิมโดยเร็ว เพราะทั้งสองฝั่งไม่อยากให้เกิดสงครามหรือการสู้รบกัน เพราะจะกระทบต่อการดำรงชีวิตและทำมาหากิน
กรมการค้าต่างประเทศเผยมูลค่าการค้าไทย-กัมพูชา 174,530 ล้าน
ปัจจุบันสถานการณ์เปิดด่านระหว่างไทยและกัมพูชายังไม่ปกติ กรมการค้าต่างประเทศ เผยมูลค่าการค้าชายแดนรวม 5 ด่าน ในพื้นที่ไทย-กัมพูชา มีมูลค่าการค้ารวม 174,530 ล้านบาท โดยหากมีการปิดด่านใหญ่ 3 แห่ง จะทำให้การค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหยุดชะงักเกือบทั้งหมด
การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา (ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2568) หากปิดด่านชายแดนสำคัญจะกระทบมูลค่าการค้าชายแดน 4 ด้านคือ 1.ผลกระทบเชิงพื้นที่ ดูจากข้อมูลค่าการค้าในแต่ละด่านศุลกากรสำคัญในปี 2567 จะพบดังนี้ 1.อรัญประเทศ (สระแก้ว) 110,718 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 63.4% 2.คลองใหญ่ (ตราด) 29,289 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16.8% 3.จันทบุรี 26,621 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15.3% 4.ช่องจอม (สุรินทร์) 6,084 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.5% 5.ช่องสะงำ (ศรีสะเกษ) 1,818 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.0% รวม 5 ด่าน มูลค่าการค้ารวม 174,530 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากปิดด่านอรัญประเทศเพียงแห่งเดียวจะส่งผลต่อมูลค่าการค้ามากกว่า 60% ของทั้งหมด หากปิดด่านคลองใหญ่ จ.จันทบุรี รวมกันอีก 30% ดังนั้น สรุปการปิดด่านใหญ่ 3 แห่ง จะทำให้การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา หยุดชะงักเกือบทั้งหมด
2.ผลกระทบเชิงโครงสร้างสินค้าส่งออกและนำเข้าที่สำคัญ 3.ผลกระทบเชิงเวลาและความต่อเนื่อง แม้ปัจจุบัน ในเดือนมิถุนายน 2568 จะมีการ “ปรับวันและเวลาเปิด-ปิดด่าน” เฉพาะการควบคุมคนเข้าออก และ 4.โอกาสในการบริหารความเสี่ยง หากการปิดด่านเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรพิจารณาคือ การกระจายความเสี่ยงการค้าไปยังด่านอื่นที่เปิดอยู่.-สำนักข่าวไทย