หนุ่มแจ้งความเอาผิด “ดิไอคอน” พ่อลงทุนจนหมดตัว ตัดสินใจผูกคอดับ

19 ต.ค. – หนุ่มเชียงรายหอบหลักฐานแจ้งความ พ่อร่วมลงทุนกับ “ดิไอคอน” จนหมดตัว ทะเลาะครอบครัว ก่อนตัดสินใจผูกคอตัวเองเสียชีวิต ส่วนจังหวัดภาคเหนือตอนบน ทยอยแจ้งความเอาผิดผู้บริหารดิไอคอน รวมมูลค่าเสียหายกว่า 77 ล้านบาท


นายพงษ์พันธ์ อายุ 23 ปี หนึ่งในผู้เสียหายจากดิไอคอนกรุ๊ป หอบหลักฐานเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน ระบุว่า นายธนพงษ์ ผู้เป็นพ่อ อายุ 56 ปี เอาเงินเก็บไปลงทุนในธุรกิจดิไอคอน หลังจากพ่อเข้าไปลงทุนเมื่อปี 2560 ได้ชักชวนแม่ รวมถึงญาติพี่น้องคนอื่น ให้ร่วมลงทุน และมีการลงทุนเพิ่มขึ้น จากที่เคยมีเงินเก็บ มีบ้าน มีรถยนต์ 3 คัน ทุกอย่างก็สูญไปกับการลงทุนของพ่อ จนมาระยะหลังพ่อกับแม่ทะเลาะกันเรื่องที่พ่อไปลงทุนจนหมด ทำให้ตนและน้องสาวไม่ได้เรียนต่อ สุดท้ายแม่ขอหย่ากับพ่อ

จากนั้นพ่อไปอาศัยอยู่ที่วัดใกล้บ้าน ก่อนจะคิดสั้นแขวนคอตัวเองเมื่อเดือนเมษายน 2563 หรือกว่า 4 ปีที่ผ่านมา จนมาเห็นข่าวเกี่ยวกับดิไอคอน จึงรวบรวมหลักฐานมาแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าว พนักงานสอบสวนรับเรื่องไว้และสอบปากคำไว้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ขณะที่จำนวนผู้เสียหายที่เข้าร้องทุกข์ในพื้นที่ จ.เชียงราย ตอนนี้มีจำนวน 62 ราย มูลค่าเสียหายประมาณ 18 ล้านบาท

เหนือตอนบนเสียท่า “ดิไอคอน” 258 ราย
พันตำรวจเอกหญิง สุธิดา สมิทธิไกร ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการอำนวยการ ตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า มีประชาชนในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เเพร่ น่าน พะเยา เเม่ฮ่องสอน เเละอุตรดิตถ์ ที่ร่วมลงทุนกับดิไอคอน ทยอยเข้าแจ้งความเอาผิดผู้บริหารบริษัทนี้อย่างต่อเนื่อง ยอดขณะนี้อยู่ที่ 258 ราย รวมมูลค่าเสียหายกว่า 77 ล้านบาท โดย จ.เชียงใหม่ เข้ามาร้องทุกข์มากที่สุดคือ 89 ราย มูลค่าเสียหายมากสูงถึง 28 ล้านบาท

เปิดรับแจ้งความ 3 วัน ยอดเสียหายทะลุ 7 ล้านบาท
ส่วนที่ จ.อุบลราชธานี ผู้เสียหายหลายคนนำหลักฐานเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุบลราชธานี บางคนแจ้งเพื่อเอาผิด บางคนเข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับดิไอคอนกรุ๊ป เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ


ตำรวจ ระบุว่า ตั้งแต่เปิดศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์คดีนี้มา 3 วัน มีผู้เสียหายแล้ว 27 ราย มูลค่าเสียหายรวมกว่า 7 ล้านบาท ซึ่ง สภ.เมืองอุบลราชธานี เตรียมพนักงานสอบสวนจำนวน 42 นาย ไว้รับคำร้องทุกข์ในคดีนี้โดยเฉพาะและตลอด 24 ชั่วโมง ขอให้ผู้เสียหายที่จะเข้าแจ้งความเตรียมเอกสารและหลักฐานมาให้พร้อม เพื่อที่พนักงานสอบสวนจะดำเนินการได้ในทันที.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์

“นายกฯ แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ รับมือความท้าทาย ชูจุดเด่นไทยอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาคการเกษตรที่เข้มแข็งดึงดูดนักลงทุน บอกกระตุ​้นเศรษฐกิจ​แจกเงินหมื่นเฟส​ 2 พุ่งเป้าเงินสะพัด ลั่น​จุดยืนไทยวางตัวเป็นทูตสันติภาพ พร้อมปรับตัวตามนโยบาย “ทรัมป์”