1 ต.ค. – สุดช้ำ! ป้าวัย 63 ยังไม่ทันได้ใช้เงินหมื่น ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงินเกลี้ยงบัญชี ส่วนลุงอีกคน ถูกเพื่อนบ้านแอบเอาเอทีเอ็มไปกดเงินจนเหลือติดบัญชีแค่ 5 บาท
ป้าบัวทอง วัย 63 ปี ชาวอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ต้องมาโรงพักร้องตำรวจให้ช่วยตามจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกให้ป้าโอนเงินหมื่นที่ได้รับจากโครงการของรัฐ และเงินผู้สูงอายุ เบี้ยเลี้ยง อสม. ไปอีก 6,800 บาท จนตอนนี้เธอไม่มีเงินเหลือติดบัญชีแม้แต่บาทเดียว
นางบัวทองเล่าว่า เงินหมื่นที่รัฐแจก ได้กดออกมาตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน เพื่อเตรียมเอาไปต่อเติมรั้วบ้าน ต่อมาช่วงเช้าของเมื่อวานนี้ (30 ก.ย.) ได้มีไลน์ชื่อบัญชี “สารวัตรศรีเดช” ทักเข้ามา และแจ้งว่า ป้าบัวทองได้ไปเกี่ยวข้องกับบัญชีที่มีการทำผิดกฎหมาย ก่อนให้ป้า แอดไลน์ ชื่อบัญชี “สภ.กาญจนบุรี” โดยอ้างว่าระดับผู้บังคับบัญชาจะคุยผ่านไลน์ พร้อมส่งบัญชี หมายศาลภาพถ่ายผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีที่ถูกจับให้ป้าดู จากนั้นโทรหา บอกให้ป้าโอนเงินมาให้ตรวจสอบ ซึ่งเงินดังกล่าว เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบ ตำรวจจะโอนคืนให้ทั้งหมด ป้าบัวทองอยู่บ้านคนเดียว ก็กลัว หลงเชื่อ รอบแรกได้โอนเงินผู้สูงอายุ เบี้ยเลี้ยง อสม. 6,800 บาท ไปทางแอปธนาคาร แต่ยังไม่พอ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกป้าบัวทองไปร้านสะดวกซื้อ แล้วโอนเงินอีก 10,000 บาท ที่เพิ่งได้รับจากโครงการเงินดิจิทัลไปเข้าบัญชีของคนชื่อนางสาวจารุนิภา ซึ่งทุกขั้นตอนที่ป้าบัวทองทำธุรกรรม แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะโทรคุยอยู่ในสายตลอด พร้อมกับบอกว่า ห้ามไปบอกใคร เพราะเป็นความลับของทางราชการทำให้ป้าไม่กล้าไปปรึกษาใคร มารู้ตัวอีกที เงินก็เกลี้ยงบัญชีแล้ว ตอนนี้ทั้งเสียดายเงิน และเสียใจที่ถูกหลอก
ด้านตำรวจบอกว่า เคสนี้ได้รวบรวมหลักฐานการสนทนา สลิปการโอนเงิน และส่งเรื่องขออายัดบัญชีปลายทางที่ป้าบัวทองโอนเข้าไปแล้ว และอยู่ระหว่างติดตามตัวเจ้าของบัญชีมาให้ปากคำ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
ลุงโอดถูกสาวเอาเอทีเอ็มไปกดเงินหมื่น
อีกเคส ที่อุดรธานี ลุงสมดี อายุ 63 ปี ชาวบ้านนาเมืองไทย อำเภอน้ำโสม หอบหลักฐาน สมุดบัญชีธนาคาร เข้าแจ้งความกับตำรวจ บอกว่าไม่ได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเอาเงินหมื่นไป แต่โดนเพื่อนบ้าน ชื่อว่า “แต้ว” เอาเอทีเอ็มไปกดเงินหมื่นของลุงไป โดยลุงสมดีบอกว่า ตัวเองเป็นคนโสด อยู่บ้านคนเดียว ส่วนแต้วกับสามีทำสวนยาง ด้วยความที่เป็นเพื่อนบ้าน ก็สนิทกัน พอเงินผู้สูงอายุ และเงินสวัสดิการแห่งรัฐออก ส่วนใหญ่ก็มักให้แต้วไปกดออกมาให้ แล้วก็แบ่งให้แต้วใช้บ้าง
แต่เมื่อ 26 กันยายน แต้วชวนไปเช็กเงิน 10,000 บาท ที่ตู้เอทีเอ็ม ด้วยความที่ลุงสมดีกดเอทีเอ็มไม่เป็น แต่แต้วกดเป็น แต้วบอกว่า “เงินยังไม่เข้า” ไปกดดูอีกธนาคาร แต้วก็บอกคำเดิมว่า “ยังไม่เข้า” แล้วบอกว่าจะเก็บบัตรเอทีเอ็มเอาไว้ ถ้าเงินเข้าบัญชี จะมากดให้ ตอนนั้นลุงสมดี ไม่ได้ติดใจอะไร ก็กลับบ้านปกติ กระทั่ง 28 ก.ย. น้องสาวมาชวนเอาสมุดบัญชีไปเช็กว่าเงินหมื่นเข้าบัญชีหรือยัง ปรากฏว่า “เงินเข้าตั้งแต่ 26 กันยายน” และ ถูกกดออกไปในวันเดียวกัน ส่วนเงินในบัญชีของลุงสมดี ตอนนี้เหลือแค่ 5 บาท
ลุงสมดี ไปสอบถามแต้ว แต้วปฏิเสธ บอกว่า ไม่ได้กดเงินออกมา ลุงสมดีบอกว่า เสียใจมากที่หลงไว้ใจ ทำให้ตอนนี้ตัดสินใจมาแจ้งความก่อน หากแต้วเอาเงินมาคืน ก็จะไม่ดำเนินคดี รวมถึงอยากขอให้ตำรวจตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อยืนยันว่า แต้วมากดเงินออกไป เพื่อจะได้มีหลักฐาน เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ ก็ร้อนถึงผู้ใหญ่บ้านมาไกล่เกลี่ย แต่ปรากฏว่า แต้วปิดบ้านเงียบ อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่บ้านเล่าให้นักข่าวฟังว่า เมื่อเช้าตำรวจออกหมายเรียกแต้วให้ไปพบแล้ว ตอนผู้ใหญ่บ้านโทรไปบอก แต้วรับปากจะไปพบตำรวจ เพียงแต่ว่า ตอนนี้ยังไม่มีรถไป และจะไปคนเดียว ไม่ต้องให้ใครพาไป
ขณะที่นักข่าวลองโทรหาแต้ว เจ้าตัวยืนยันไม่ได้เอาเอาทีเอ็มของลุงสมดีไปกดเงินหมื่น แค่คืนวันที่ 24 กันยายน ได้พาลุงสมดีไปลงทะเบียนที่ตู้เอทีเอ็ม ย้ำว่า ไม่ได้กดเอาเงินหมื่นของลุงไป และเอทีเอ็มคืนให้กับลุงไปแล้ว และหากจะโดนจับข้อหาลักทรัพย์ ก็จะยืนยันคำเดิมว่า “ไม่ได้เอาเงินไป” .-สำนักข่าวไทย