สกลนคร 21 ธ.ค. – แฟนคลับ”ลุงพล-ป้าแต๋น” จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญชุดใหญ่ เรียกขวัญให้ “ลุงพล” หลังโดนพิพากษาจำคุก 20 ปี คดี “น้องชมพู่” เจ้าตัวมีกำลังใจดีขึ้น เครียดน้อยลง ลั่นพร้อมเดินหน้าสู้คดีต่อ
ที่วังปู่ปาริจิตนาคราช บ้านจำปาดงเหนือ หมู่ 6 ต.กุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ช่วงเวลา 09.00 น.ที่ผ่านมา มีการรำบายศรี บริเวณลานด้านหน้าองค์ปู่ปาริจิต จากนั้นชาวบ้านบางส่วนร่วมกันประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญให้แก่นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล และนางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น เพื่อความเป็นสิริมงคล ให้มีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต เป็นขวัญกำลังใจ โดยเฉพาะลุงพลที่ถูกศาลจังหวัดมุกดาหาร พิพากษาจำคุก 2 ฐานความผิด กระทงละ 10 ปี รวม 20 ปี ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร คดีการเสียชีวิตปริศนาของน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ พื้นที่บ้านกกกอก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อปี 2563 ขณะที่ป้าแต๋น ศาลยกฟ้อง
หลังเสร็จลำดับพิธีพราหมณ์ ชาวบ้านได้ผูกข้อต่อแขนเป็นกำลังใจให้ลุงพล ป้าแต๋น หลายคนแนบธนบัตรจนเต็มแขนทั้ง 2 คน และยังมี FC จากต่างแดน โอนเงินค่าผูกแขนให้ลุงพล ป้าแต๋น คนละ 10,000 บาท
ต่อมาเป็นกิจกรรมกอดให้กำลังใจ เริ่มจากป้าแต๋นกอดลุงพล ให้ชาวบ้านและยูทูบเบอร์ต่อแถวกอดลุงพล ป้าแต๋น ทั้งสองฝ่ายต่างซาบซึ้ง มีน้ำตากันหลายคน อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมลุงพลมีความเครียดน้อยลง หน้าตาแจ่มใสขึ้น และสามารถให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนได้ตามปกติ ต่างจากการแถลงข่าวเมื่อวานที่พูดไม่ค่อยออก
ลุงพล กล่าวว่า จะปรึกษาทนายความเพื่อแก้ข้อพิรุธต่างๆ ตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งมีเวลา 1 เดือน ในการยื่นอุทธรณ์ ยืนยันว่าไม่เปลี่ยนทีมทนาย เพราะเห็นว่าทำงานดีที่สุดแล้ว โดยไม่หวั่นไหวที่มีทนายบางส่วนออกมาวิจารณ์ถึงแนวทางต่อสู้คดี สิ่งสำคัญที่สุดที่จะพิสูจน์ตัวเอง คือ ช่วงเวลา 9 โมงเศษ และบ่าย 2 จนถึง 4 โมงเย็น ว่าอยู่จุดไหน อย่างไร
สำหรับนายวัชรินทร์ หรือ พ่อแบม พยานปากเอกที่ร่วมแถลงข่าวกับครอบครัวน้องชมพู่ และทีมทนายโจทก์ ว่าลุงพลคุกคามบังคับให้เปลี่ยนไทม์ไลน์นั้น ลุงพลปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอย่างนั้น หลังพ่อแบมให้สัมภาษณ์สำนักข่าวแห่งหนึ่งว่าเจอลุงพลตอน 09.20 น. หลังจากนั้นพ่อน้องชมพู่ขับมอเตอร์ไซค์ไปหาที่บ้านประมาณ 09.40 น. ห่างกัน 20 นาที ถามพ่อแบมว่าเห็นน้องชมพู่หรือไม่ นี่คือข้อพิรุธของพยานปากนี้ ดูข่าวเสร็จตนเลยขับมอเตอร์ไซค์ไปหาพ่อแบม ถามว่าไปออกข่าวแบบนั้นจะทำให้พ่อน้องชมพู่ลำบาก เพราะลุงมีพยานอยู่แล้ว ตอนคุยกับพ่อแบม ลูกชายเอาโทรศัพท์ไปให้ตรงสวนยางที่ไปกรีดกระตุ้นหน้ายาง ตอน 7 โมงกว่า พูดกันแค่นี้ ไม่ได้บอกว่าให้เปลี่ยนคำให้การ ต้องให้เปลี่ยนเวลาเป็นวันที่ 9 วันที่ 10 ตามที่กล่าวอ้าง
ขณะที่ป้าแต๋นให้สัมภาษณ์ด้วยเสียงสั่นเครือว่า เป็นคนเดียวที่รู้ทุกอย่างว่าลุงพลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ลุงต้องถูกยกฟ้องเหมือนกับป้าจึงจะถูก ไม่คิดทิ้งลุงไปไหน พร้อมต่อสู้กับลุง บางคนอาจจะบอกว่าอวยสามีหรือเปล่า ไม่ใช่ บางทีลุงพลอาจจะดีกว่าเจ้าหน้าที่หลายๆ คน พูดถึงตรงนี้ลุงพลเลยเบรกป้าแต๋นว่าอย่าไปพาดพิงบุคคลที่ 3
ศาลสั่งจำคุก “ลุงพล” 20 ปี-ยกฟ้อง “ป้าแต๋น”
ย้อนดูคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจังหวัดมุกดาหาร เมื่อวานนี้ แม้ศาลจะตัดสินว่า “ลุงพล” หรือจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี และฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี ส่วนข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องจำเลยที่ 2 หรือ ป้าแต๋น กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม คดีนี้มีสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด และจะเป็นข้อต่อสู้ให้กับลุงพลและทีมทนายความในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา คือความเห็นของอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ที่ตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีข้อสงสัยตามสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 เห็นควรพิพากษายกฟ้อง จึงให้รวมไว้ในสำนวนตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 11 (1)
เผย 4 ประเด็น ศาลไม่เชื่อคำให้การ “ลุงพล” คุก 20 ปี
ทั้งนี้ สำหรับประเด็นที่ศาลนำมาวินิจฉัยในคำพิพากษาลงโทษครั้งนี้ ประกอบด้วย
1.เชื่อว่าคนร้ายเป็นคนใกล้ชิด และจากการตรวจสอบ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดรวม 14 คน แบ่งเป็นญาติ 12 คน และบุคคลใกล้ชิด 2 คน พบว่า 13 คน มีหลักฐานยืนยันที่อยู่หรือตำแหน่งอ้างอิงจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ชัดเจน ยกเว้นจำเลยที่ 1 หรือ ลุงพล ซึ่งไม่สามารถยืนยันที่อยู่ได้แน่ชัดในเวลาที่ผู้ตายหายตัวไป
2.ลุงพลให้การเป็นข้อพิรุธหลายอย่าง อาทิ ให้การกับตำรวจชุดสืบสวนว่าวันเกิดเหตุมีนัดไปรับพระ ส. ที่วัดถ้ำภูผาแอก ขณะเดินทางไปวัด จำเลยที่ 2 (ป้าแต๋น) โทรศัพท์แจ้งว่าผู้ตายหายตัวไป แต่ครอบครัวของจำเลยทั้งสองมีโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวอยู่กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ 2 จะโทรศัพท์แจ้งเรื่องแก่จำเลยที่ 1 อีกทั้งพระ บ. ซึ่งจำวัดอยู่ที่วัดถ้ำภูผาแอกเช่นกันยืนยันว่าวันดังกล่าว เวลาประมาณ 10.00 น. จำเลยที่ 1 เดินทางไปถึงวัดและพูดกับพระ บ. ว่าหลานหายเกือบไม่ได้ไปส่งพระ ทั้งที่ในขณะนั้นจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตัว ต้องยังไม่ทราบเหตุว่าผู้ตายหายตัวไป
3.พยานโจทก์ปากนาย ว. และนาง พ. ให้การในชั้นสอบสวนว่าพยานเห็นจำเลยที่ 1 อยู่บริเวณสวนยางพาราซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถข้าถึงจุดที่ผู้ตายหายตัวไป ในช่วงเวลาที่คนร้ายลงมือกระทำความผิด แต่ขณะที่มีการสอบสวนเรื่องนี้ จำเลยที่ 1 พยายามไปพูดคุยกับนาย ว. ให้ นาย ว. บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่า นาย ว. พบจำเลยที่ 1 ในช่วงเวลา 07.00 น. ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานตำรวจสงสัยจำเลยที่ 1
4.ประการสุดท้าย ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจตั้งข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย จึงมีการเข้าตรวจค้นรถยนต์ จำเลยที่ 1 พบเส้นผม 16 เส้น และวัตถุพยานอื่น โดยผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ ประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญ ปรากฏว่า เส้นผม 1 เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์จำเลยที่ 1 มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้าง ตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย 2 เส้น ซึ่งตรวจเก็บได้จากบริเวณที่พบศพผู้ตาย เส้นผมทั้ง 3 เส้นดังกล่าว จึงถูกตัดในคราวเดียวกัน ด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน เชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมผู้ตาย แต่ด้วยเหตุที่เส้นผมมีขนาดเล็กมาก จำเลยที่ 1 จึงไม่สังเกตว่ามีเส้นผมผู้ตายเส้นหนึ่งตกอยู่ในรถยนต์ของตน
ด้านครอบครัวของน้องชมพู่ หลังฟังคำพิพากษา พ่อและแม่น้องชมพู่ได้โผเข้ากอดพ่อแบม พยานปากสำคัญ ที่เห็นลุงพลอยู่ในสวนยางในวันที่น้องชมพู่หายตัวไป ก่อนจะขอบคุณและร้องไห้ออกมา
นางสาวิตรี กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนขอบคุณพ่อแบมมากที่ช่วยยืนยันข้อเท็จจริง เนื่องจากไม่เคยเป็นพยานที่ให้เงินเลยช่วยกันมาไม่เคยกลับคำให้การ โดยที่เราเองก็ไม่ได้รองขอ ถือว่าเป็นพยานที่สำคัญมากๆ ทำให้คดีนี้มาถึงวันนี้ได้ ตนรู้สึกตื้นตันในสิ่งที่ชาวบ้านทำให้เด็กคนหนึ่ง น้องตายโดยไม่มีใครรู้ใครเห็น ถ้าไม่มีพยานเห็น ไม่รู้คดีนี้จะจับคนร้ายได้ไหม โดยในวันนี้ตนได้นำมาจริงแล้วเอามาตั้งแต่เมื่อวานแต่ไม่ได้เอาออกมา ได้แต่บอกน้องว่า “อยู่ในรถก่อน ข้างนอกอันตรายมาก” พอศาลสั่งจับคนร้ายแล้วจึงเอาออกมา
ส่วนที่คำพิพากษาออกมาแล้วปรากฏว่า เป็นนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล สามีของป้าแต๋น พี่สาวของตนนั้น ที่เป็นคนใกล้ตัว สำหรับความรู้สึกมันหมดไปตั้งแต่ปี 63 แล้ว.-สำนักข่าวไทย