ระยอง 20 พ.ย. – ลูกป่วยจิตฆ่าพ่อตัวเอง ก่อนอุ้มร่างไปเผา พบขาดยา ไม่เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สารภาพก่อเหตุเพราะโมโหที่ถูกพ่อดุด่า
เหตุเศร้านี้ เกิดขึ้นที่บ้านกลางสวนยางพารา หมู่ 10 ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ที่เกิดเหตุ พบศพของนายหนูกัน อายุ 63 ปี อยู่ในกองเถ้าไฟที่มีแผ่นไม้และเศษไม้คลุมอยู่ สภาพศพไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโก ส่วนผู้ก่อเหตุ เป็นลูกชายของผู้เสียชีวิต ชื่อ นายพงษ์ชัย อายุ 34 ปี หลังก่อเหตุได้เข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ปิดประตูเงียบ เจ้าหน้าที่ตำรวจไปเคาะประตู ก็ไม่ยอมออกมา เจ้าหน้าที่พยายามพูดเกลี้ยกล่อมสุดท้าย นายพงษ์ชัยเปิดประตูออกมา แต่ไม่ยอมปริปากพูดอะไร ได้แต่นั่งนิ่งเฉย เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ
ด้านนางนวลจันทร์ ภรรยาของผู้เสียชีวิต และเป็นแม่ของผู้ก่อเหตุ กลับมาเห็นเหตุการณ์ถึงกับเข่าทรุด เป็นลม ให้การว่าตัวเองออกไปรับจ้างตั้งแต่เช้า ปล่อยให้ลูกชายอยู่กับพ่อสองคน ซึ่งตัวพ่อนั้นเพิ่งตัดขามาข้างหนึ่งเพราะป่วยเบาหวาน เวลาเดินต้องใช้ที่ช่วยพยุงเดิน ไม่คาดคิดเลยว่าลูกชายจะก่อเหตุสลดขึ้น พร้อมยอมรับว่าลูกชายเคยป่วยจิตเภทและเคยรับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดขอนแก่นเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ที่ผ่านมา ลูกชายไม่เคยมีอาการเกรี้ยวกราด และยังสามารถช่วยกรีดยางได้ จึงไม่ทราบว่าก่อเหตุเพราะสาเหตุใด
เบื้องต้น ตำรวจสันนิษฐานว่า อาจเกิดจากอาการป่วยจิตเภทของลูกกำเริบ และคาดว่าน่าจะใช้ที่พยุงเดินของพ่อ ตีพ่อจนสลบหมดสติ ก่อนนำร่างไปเผาไป เพราะอุปกรณ์ดังกล่าว มีร่องรอยคดงอ
วันนี้ (20 พ.ย.) เจ้าหน้าที่สำนักงานยุติธรรม จ.ระยอง ได้ไปพูดคุยกับนางนวลจันทร์ พร้อมแจ้งสิทธิประโยชน์ในการรับเงินเยียวยาเหยื่ออาชญากรรมตามกฎหมาย เบื้องต้นประมาณ 1 แสนบาท และทางตำรวจได้สอบปากคำนางนวลจันทร์ ซึ่งยอมรับว่า ลูกชายที่ก่อเหตุ ป่วยจิตเวชเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เคยไปรับยาจากโรงพยาบาลที่ขอนแก่น แต่หลังจากย้ายมาอาศัยที่ จ.ระยอง เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ลูกชายบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว และไม่เคยแสดงอาการอะไร จึงไม่ได้ไปรับยามากินต่อเนื่อง และยืนยันว่า ลูกชายไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกชนิด รวมทั้งไม่ดื่มแอลกอฮอลล์ มีแต่สูบบุหรี่ยาเส้นเท่านั้น
ส่วนตัวลูกชายที่ก่อเหตุ ยอมเปิดปากรับสารภาพว่า เป็นคนฆ่าพ่อเพราะโกรธที่ถูกด่า จนโมโห คว้าที่พยุงเดินกดคอพ่อจนหมดสติ ก่อนจะยกร่างใส่รถซาเล้งพ่วงข้าง นำไปสุมเศษไม้จุดไฟเผาในสวนยางพาราข้างบ้าน จากนั้น ตำรวจได้นำตัวผู้ก่อเหตุไปทำแผนอย่างละเอียด ก่อนนำกลับมาควบคุมตัวที่ สภ.หนองกรับ โดยเจ้าตัวไม่ยอมพูดจากับใคร เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องคุมขัง ทางพนักงานสอบสวน จะนำตัวส่งศาลเพื่อฝากขังในวันพรุ่งนี้ (21 พ.ย.) ข้อหาฆ่าบุพการี ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังสาเหตุการตาย
มีความเห็นจาก นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ว่า ต้นเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยรายนี้ก่อเหตุความรุนแรง เป็นเพราะขาดยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ครอบครัวและชุมชนต้องช่วยกันดูแล จากสถิติพบว่ามีผู้ป่วยจากโรคจิตและสารเสพติดเพียง 5% เท่านั้น ที่เคยก่อเหตุความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งก็ล้วนมีสาเหตุมาจากการป่วยแล้วไม่ได้รับการรักษา หรือ ขาดยา ขาดการรักษาต่อเนื่อง อาการจะกำเริบ และไปก่อเหตุความรุนแรงได้ แต่ในทางกลับกัน หากส่งผู้ป่วยเหล่านี้เข้าไปอยู่ในระบบการรักษา ความรุนแรงก็แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น
หมอยงยุทธ ยังบอกว่า หากมีปัญหาเรื่องการรักษา ควรขอคำปรึกษาจากระบบสาธารณสุข ซึ่งปัจจุบันมีการดูแลสุขภาพจิตในทุกระดับอยู่แล้ว ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปจนถึงระดับโรงพยาบาลประจำจังหวัด โดยสามารถไปรับยารักษาอาการป่วยทางจิตเวชที่ รพ.สต.ได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะเป็นโรคที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่หากครอบครัวไม่เข้าใจ หรือเข้าไม่ถึงการรักษา ก็ควรมีชุมชนเข้ามาช่วยดูแล
นอกจากนี้ อยากให้สังคมเข้าใจว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากผู้ป่วยจิตเวช มีเพียงแค่ 5% เท่านั้น ที่เกิดจากผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา หรือขาดยาขาดการรักษา ส่วนที่เหลืออีก 95% มาจากคนทั่วไป ที่มีปัญหาสุขภาพจิตภายในครอบครัว ซึ่งมักเป็นการกระทำผิดที่ผลิตซ้ำ ทั้งความรุนแรงต่อเด็ก ต่อสตรี และผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันแม้จะมี พ.ร.บ. ป้องกันและแก้ไขความรุนแรงในครอบครัว ที่สามารถช่วยให้เหยื่อออกมาจากความรุนแรงได้โดยไม่ต้องเป็นคดีอาญา แต่ครอบครัวที่มีปัญหามักจะไม่ได้ออกมาขอความช่วยเหลือเอง จึงต้องอาศัยการสอดส่องดูแลจากชุมชน รวมถึงระบบบริการสุขภาพ และโรงเรียนด้วย อย่ามองว่า เป็นแค่เรื่องในครอบครัว หากช่วยกันดูแล ความรุนแรงในครอบครัวจะมีทางออกทันที.-สำนักข่าวไทย