ชุมพร 5 ก.ค. – แม่ร้องมูลนิธิปวีณา ลูกสาวเสียชีวิตปริศนา หลังแพทย์พบสารพิษในร่างกาย สงสัยลูกเขยวางยา ขอตำรวจอายัดศพผ่าพิสูจน์ใหม่
นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้พานางจี (นามสมมติ) อายุ 50 ปี เดินทางมายัง สภ.เมืองชุมพร เข้าพบ พล.ต.ต.จารุต ศรุตยาพร ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ชุมพร เพื่อให้ข้อมูล หลังสงสัยว่าลูกสาวอายุ 30 ปี เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ เพราะแพทย์ตรวจพบสารปรอท สังกะสี และสารหนูในร่างกาย คาดว่าลูกสาวอาจจะถูกวางยา จึงอยากให้ตำรวจอายัดศพไว้เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ
นางจี (นามสมมติ) เล่าว่า เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.ชุมพร แจ้งว่าลูกสาวเข้ารับการรักษาอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย. เพราะมีอาการชักเกร็ง บางครั้งอาการก็ดีขึ้น บางครั้งหัวใจก็ทำงานผิดปกติ แพทย์ตรวจพบสารปรอท สังกะสี และสารหนูในร่างกาย โดยมีนายบี (นามสมมติ) สามีของลูกสาว เฝ้าดูแลอยู่ตลอดเวลา
กระทั่งวันที่ 25 มิ.ย. ลูกสาวถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เข้าห้อง ICU แม่จึงรีบเดินทางไปเยี่ยมทันที เมื่อไปถึงเห็นสภาพลูกแม่ใจแทบสลาย เพราะนอนลืมตา แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้
แม่ผู้ตาย กล่าวอีกว่า เมื่อ 7 ปีก่อน นายบีพาลูกสาวของตนหนีไปแล้วไปจดทะเบียนสมรสอยู่กินกัน และมีลูกด้วยกัน 2 คน ปัจจุบันลูกเขยมีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทเคมีแห่งหนึ่ง จำหน่ายสินค้าเครื่องมือแพทย์
ต่อมาเมื่อปี 65 ลูกสาวตนจับได้ว่านายบีมีผู้หญิงคนอื่น จึงมีการฟ้องร้องชู้เกิดขึ้น ก่อนจะมีการเจรจาจ่ายเงินกันและถอนฟ้องไป ที่ผ่านมาทั้ง 2 คนยังคงอยู่ด้วยกัน แต่สังเกตว่าหลังมีการฟ้องร้องกันเมื่อปี 65 ลูกสาวมักมีอาการป่วยเรื่อยมา และแพทย์เคยตรวจพบสารปรอท สังกะสี และสารหนูในร่างกายลูกสาวมาก่อน นายบีมักอ้างว่าลูกสาวตนและครอบครัวกินสารปรอทป้องกันมะเร็ง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง แม่สงสัยว่าสารอันตรายเหล่านี้เข้าไปอยู่ในร่างกายลูกสาวได้อย่างไร ซึ่งได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองชุมพร
ต่อมานางปวีณา พร้อมนางจี เดินทางไปยังโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เพื่อขอข้อมูลรายละเอียดการรักษาและสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาว เบื้องต้นแพทย์ให้ข้อมูลว่าตรวจพบว่าหัวใจเต้นผิดปกติ มีการติดเชื้อในช่องท้อง เกล็ดเลือดแดงต่ำ มีอาการชักเกร็ง แพทย์ตรวจพบสารปรอท สังกะสี และสารหนูในร่างกายของผู้ตาย จึงส่งศพไปผ่าชันสูตรอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลตำรวจ ยังอยู่ระหว่างการรอผลชันสูตร
ด้านผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ชุมพร กล่าวว่า ตำรวจได้เรียกสามีซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำแล้ว และผู้ต้องสงสัยพร้อมจะสู้คดี ตอนนี้รอเพียงผลการชันสูตรเท่านั้นจะสามารถออกหมายจับผู้ต้องสงสัยได้ทันที หากพบว่าสารในร่างกายนั้นเป็นสารพิษจริง ตำรวจจะทำคดีให้รัดกุมที่สุด เพราะคดีนี้โทษสูงถึงประหารชีวิต
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้พบกับนายบี ที่ได้เดินทางมาให้ปากคำกับตำรวจเพิ่มเติม พร้อมเปิดใจให้สัมภาษณ์ว่า คิดว่าครอบครัวภรรยาไม่น่าจะติดใจเรื่องการเสียชีวิต แต่น่าจะคิดถึงเรื่องเงินประกันของลูกสาวมากกว่า เพราะเขาคาดว่าน่าจะมีเงินประมาณ 30 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงมีเพียง 150,000 บาทเท่านั้น และผู้รับผลประโยชน์คือลูกชายที่ระบุในกรมธรรม์
นายบียังยืนยันอีกว่าทุกครั้งที่รักษาภรรยา มีเอกสารหลักฐานการรักษาทุกอย่าง และอีกข้อมูลที่นายบีอ้างคือ ภรรยามีอาการป่วยเกี่ยวกับจิตเวชด้วย บางครั้งภรรยาก็หยิบสิ่งของที่ไม่ใช่ของกินมากินอยู่บ่อยครั้ง อาทิ ยากันยุง ไส้ดินสอ แม้ขยะในถังขยะก็มี ซึ่งนี่เป็นคำกล่าวอ้างจากพยาบาลที่ดูแลภรรยาบอกกับตน .-สำนักข่าวไทย