ญาติผู้เสียชีวิตโผล่อีก คาดเป็นเหยื่อ “แอม” ตร.เปิดศูนย์ร้องเรียนคดีแอม 4 จังหวัด

27 เม.ย. – ลูกสาวร้องตรวจสอบการตายแม่ คาดเป็นเหยื่อ “แอม ไซยาไนด์” อีกราย ด้าน ผบช.ภ.7 เรียกประชุมเร่งติดตามคดี สั่งชุดสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ แม้ไม่มีร่างผู้เสียชีวิตแล้วก็ตาม พร้อมเปิดศูนย์ร้องเรียนให้ผู้เสียหาย 4 จังหวัด


พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เรียกตำรวจในพื้นที่ 4 จังหวัด เพื่อติดตามเร่งลัดคดีที่เกี่ยวข้องกับ “แอม” ก่อเหตุวางยาไซยาไนด์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต เบื้องต้นในพื้นที่ภาค 7 พบมีเหตุเกิดขึ้นใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย สภ.ชะอำ จ.เพชรบุรี สภ.โพธาราม สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี สภ.ลูกแก จ.กาญจนบุรี สภ.เมืองนครปฐม สภ.สามพราน สภ.ดอนตูม จ.นครปฐม รวม 10 คดี เสียชีวิตไปแล้ว 9 คดี รอดชีวิต 1 คดี และล่าสุดพบในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร พฤติการณ์คล้ายกัน

ขณะนี้ได้แบ่งหน้าที่ไปทำงานติดตามคดีที่เกิดขึ้น พร้อมเปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ที่อาจจะมีผู้เสียหายมาเพิ่ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียหาย หากบางรายไม่สะดวกในการเดินทางมาแจ้ง สามารถโทรศัพท์เข้ามาแจ้งรายละเอียดเบื้องต้น ทางศูนย์จะส่งตำรวจไปอำนวยความสะดวกให้ถึงบ้าน ขณะนี้มีข้อมูลย้อนไปตั้งแต่ปี 2563 จนถึง 2566


ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 กล่าวต่อว่า พฤติการณ์ต่างๆ ของแอม ขณะนี้ได้ซักถามทีมสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียด ส่วนเรื่องของสมุทรสาคร เป็นคดีที่ 11 หลังประชุม เจ้าหน้าที่จะลงไปพื้นที่เก็บรวบรวมรายละเอียดทั้งหมด และเข้ามารายงานให้ทราบอีกครั้ง

นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้ทีมสืบสวนติดตามเรื่องสารไซยาไนด์ “แอม” ได้มาจากไหน ได้มาอย่างไร สั่งซื้อที่ไหน เนื่องจากสารตัวนี้เป็นสารต้องห้าม

ส่วนกรณีที่ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ไม่ได้มีการชันสูตร และฌาปนกิจไปเรียบร้อยแล้วนั้น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ยืนยันว่าตำรวจหลักฐานพยานอื่นๆ ที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงผู้ก่อเหตุได้ แม้จะไม่มีร่างผู้เสียชีวิตอยู่ก็ตาม


ขณะที่ญาติของผู้เสียชีวิตหลายราย เริ่มมีความคลางแคลงใจและสงสัยในการเสียชีวิตว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแอม หรือไม่ เช่นรายนี้เป็นลูกสาวผู้เสียชีวิตคนหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน หลังสงสัยการเสียชีวิตของแม่จะเกี่ยวข้องกับแอม

โดยเมื่อวาน ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 7 บุตรสาวของเจ้น้อย อายุ 39 ปี ผู้เสียชีวิต เดินทางเข้าพบกับตำรวจ พร้อมนำโทรศัพท์มือถือของแม่ 2 เครื่อง มามอบให้ตำรวจ ไว้เป็นหลักฐานตรวจสอบความเกี่ยวโยงการเสียชีวิตของแม่กับแอม

ลูกสาวเจ้น้อยเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังทั้งน้ำตาว่า แม่รู้จักกับแอมผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 แม่โอนเงินไปให้แอม 60,000 บาท ในนั้นเป็นเงินของตัวเอง 20,000 และเงินแม่ 40,000 จึงถามแม่ว่า แม่เอาเงินไปทำอะไร แม่ก็บอกว่าแอมยืม จากนั้นวันที่ 10 สิงหาคม หลังแม่กลับมาจากทำผม แม่ก็เกิดอาการช็อก คนในบ้านจึงเรียกมูลนิธิช่วยนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในวันเดียวกัน ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล แอมโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องแม่ แต่ตนเป็นคนรับ และบอกว่าแม่ป่วยอยู่โรงพยาบาล แอมทำเสียงตกใจ ถามว่าแม่เป็นอะไร และระหว่างการจัดงานศพ ตนได้โทรไปถามแอมเรื่องเงิน 60,000 ที่ยืมไป ได้รับคำตอบกลับมาว่าเงินนั้นเป็นเงินที่แม่ยืมไป ซึ่งพูดไม่เหมือนกับที่แม่บอก

หลังปรากฏเป็นข่าวแอมถูกจับ เนื่องจากเป็นผู้เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตหลายราย ส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักแอม ทุกรายจะเสียชีวิตคล้ายกัน ตนจึงสงสัยการตายของแม่จะเกี่ยวข้องกับแอมหรือไม่

นอกจากนี้ที่กำแพงเพชร ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ ไปที่หมู่ 1 ต.นาบ่อคำ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พบกับนางลัดดา อายุ 64 ปี แม่ของ น.ส.มณฑาทิพย์ หรือ ทราย ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ก.ค.58 ที่ กรุงเทพมหานคร โดยแพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

นางลัดดา แม่ผู้เสียชีวิต เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ลูกสาวกลับจากต่างประเทศแล้วเสียชีวิต หลังเจอแอมได้เพียงวันเดียว คาใจสาเหตุการตายคล้ายกับทุกกรณีที่เป็นข่าวเกี่ยวข้องกับแอม คือ มีน้ำลายฟูมปากและเลือดเป็นกอง ลูกสาวมีความสนิทสนมกับแอม คอยช่วยเหลือแอมในทุกๆ เรื่องโดยเฉพาะเรื่องเงิน แอมพึ่งพาเงินทองกับลูกสาวตลอด ตอนลูกสาวกลับมาไทย แอมก็อาสาไปรับ แอมบอกว่าลูกสาวลงเครื่องตอนเที่ยงคืนแล้วมาส่งตอนตี 1 เขาบอกอย่างนี้ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเขากินอะไรมาบ้าง อีกวันตำรวจโทรมาบอกว่าลูกสาวตายแล้ว จนถึงวันนี้ยังค้างคาใจต่อสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาวมาตลอดระยะเวลา 7 ปี จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าแอมถูกดำเนินคดี ยอมรับรู้สึกโล่งใจ และเสียใจว่าทำไมต้องมาทำกันขนาดนี้ . – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจ สอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย

GBC หารือใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืนถกถึงเที่ยงคืน

มาเลเซีย 6 ส.ค.-GBC ประชุมใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืน ฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ การหารือภายใต้กรอบ GBC ณ เวลา 07.45 น. วันนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อคืน คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่าย ได้เจรจากันถึงเวลา 00.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในบางประเด็นสุดท้าย เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ GBC ของฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ จึงได้นัดประชุมอีกครั้ง เวลา 08.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) วันนี้ เพื่อหาข้อสรุปสำหรับประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อเวลา 07.40 น. รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับคณะเลขานุการ GBC ของฝ่ายไทยติดตามความคืบหน้าในการเจรจา ให้กำลังใจ และชื่นชมในการทำงานอย่างหนักถึงวินาทีสุดท้ายของทีมไทยแลนด์ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเจรจา เพื่อบรรลุผลและปกป้องผลประโยชน์ของไทย.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย