เร่งสอบเส้นทางคนร้ายกระหน่ำยิงเจ้าของบ่อกุ้งเสียชีวิต

ราชบุรี 19 มี.ค. – ญาติเผยเจ้าของบ่อกุ้งถูกบุกยิงเสียชีวิต ถือเป็นศพที่ 3 จากเหตุความขัดแย้งเรื่องข้อพิพาทการเช่าที่ดินทำบ่อกุ้ง ขณะที่ตำรวจเร่งตรวจสอบเส้นทางคนร้ายเข้ามาก่อเหตุ


ความคืบหน้ากรณีนายแฉล้ม อายุ 67 ปี เจ้าของบ่อกุ้งใน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ถูกยิงเสียชีวิตอยู่บนแคร่ไม้บริเวณบ่อกุ้ง สภาพศพมีบาดแผลถูกอาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณศีรษะและหน้าอก รวม 9 นัด และพบหัวกระสุนขนาด 9 มม. ตกตามพื้นรวม 4 หัว และพบปลอกกระสุนขนาดเดียวกันตกอยู่ 9 ปลอก เบื้องต้นตำรวจได้สอบปากคำญาติของผู้ตายทุกคนเพื่อหาสาเหตุ

นางสมพร ภรรยาของผู้ตาย เล่าว่า ทุกวันในช่วงกลางวัน สามีจะไปช่วยทำความสะอาดวัดที่อยู่ใกล้บ้าน หลังจากนั้นช่วงบ่ายจะมาเฝ้าบ่อกุ้ง และกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน แต่วันเกิดเหตุ ช่วงเย็น ตนได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด แต่ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งเวลา 17.30 น. ไม่เห็นสามีมากินข้าวเย็น จึงโทรศัพท์ไปตามแต่ไม่มีคนรับ เลยขี่รถมาดูที่เพิงพักก็พบว่าสามีเสียชีวิตแล้ว ส่วนสาเหตุ คาดว่ามาจากเรื่องบ่อกุ้งเพราะเป็นพื้นที่เช่าและมีนายหน้ามาติดต่อขอให้หยุดกิจการบ่อเลี้ยงกุ้ง เพราะจะขอเช่าต่อเพื่อปลูกมะพร้าว แต่ติดที่สัญญาการเช่ายังไม่หมด ผู้ตายจึงยังไม่ได้พูดคุยอะไร


วันนี้ (19 มี.ค.) พ.ต.อ.ณัฐ พิพัฒน์สวัสดิ์ ผกก.สภ.หลักห้า พร้อมกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้เข้าตรวจสอบในจุดเกิดเหตุอีกครั้ง และตรวจสอบเส้นทางเข้าออกในบ่อกุ้งเพื่อหาร่องรอยของคนร้ายที่เข้ามาก่อเหตุ รวมทั้งเข้าพูดคุยกับเจ้าของที่ดินที่อยู่ข้างเคียง เพื่อหาสาเหตุของการมากระหน่ำยิงนายแฉล้ม จนเสียชีวิตในครั้งนี้

จากการสอบถามญาติของนายแฉล้ม เบื้องต้นทราบว่า ขณะนี้ศพยังอยู่ที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลราชบุรี รอผ่าพิสูจน์หัวกระสุน ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถไปรับศพได้ในวันพรุ่งนี้ (20 มี.ค.) ส่วนที่จะจัดงานศพที่ไหนนั้นญาติกำลังอยู่ระหว่างปรึกษาหารือว่าจะนำไปไว้ที่วัด หรือที่บ้าน

ผู้สื่อข่าวยังได้รับทราบข้อมูลมาจากญาติของผู้ตายว่า เรื่องกรณีพิพาทที่ดินในบริเวณนี้มีมานานแล้ว และมีคนตายแล้วถึง 2 คน แต่ยังจับคนร้ายไม่ได้ ส่วนนายแฉล้มนั้นเป็นศพที่ 3 ทางญาติจึงไม่อยากให้นายแฉล้มตายฟรี อยากให้ตำรวจช่วยจับตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว เพราะเชื่อว่ามีประเด็นเดียว คือเรื่องที่ดินบ่อกุ้งที่ผู้ตายมาเช่าอยู่ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นไม่มี เพราะผู้ตายเป็นคนดี ชอบทำบุญไปช่วยงานที่วัดข้างบ้านทุกวัน หลังจากออกจากวัดจะมาเฝ้าบ่อกุ้ง ทำอย่างนี้ทุกวันมาหลายปีแล้ว จึงเชื่อว่าไม่มีประเด็นอื่น.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์

“นายกฯ แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ รับมือความท้าทาย ชูจุดเด่นไทยอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาคการเกษตรที่เข้มแข็งดึงดูดนักลงทุน บอกกระตุ​้นเศรษฐกิจ​แจกเงินหมื่นเฟส​ 2 พุ่งเป้าเงินสะพัด ลั่น​จุดยืนไทยวางตัวเป็นทูตสันติภาพ พร้อมปรับตัวตามนโยบาย “ทรัมป์”