อีโอดีขยายพื้นที่ตรวจระเบิดรางรถไฟสงขลา

สงขลา 7 ธ.ค. – ชุดอีโอดีขยายพื้นที่ตรวจระเบิดรางรถไฟ ด้านเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ ยุติแผนกู้ขบวนรถและซ่อมแซมรางชั่วคราว รอจนกว่าทุกอย่างจะปลอดภัย ขณะที่การเดินรถระหว่างสถานีชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ยังงดการเดินรถ รวมทั้งรถไฟขบวนท่องเที่ยว วันที่ 10 ธ.ค.นี้


ความคืบหน้าเหตุการณ์ความไม่สงบที่ จ.สงขลา หลังจากคนร้ายลอบวางระเบิดรถไฟขนส่งสินค้า ขบวนที่ 707 ระหว่างสถานีคลองแงะ-ปาดังเบซาร์ พื้นที่ ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา และเหตุระเบิดซ้ำลูกสองจุดเดิม วานนี้ (6 ธ.ค.65) ทำให้เจ้าหน้าที่การรถไฟฯ ที่เข้าไปกู้ขบวนสินค้าและซ่อมแซมราง เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บ 4 คน

ล่าสุดวันนี้ (7 ธ.ค.65) เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) ลงพื้นที่สแกนตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุอย่างละเอียด และขยายพื้นที่ตรวจเส้นทางรถไฟออกไปจากจุดเกิดเหตุอีกอย่างน้อย 1 กิโลเมตร ตามคำร้องของเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีระเบิดหลงเหลืออยู่ และยังมีกำลังของหน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ลงพื้นที่ปูพรมตรวจเส้นทางรถไฟ ตั้งแต่สถานีรถไฟคลองแงะ จนถึงจุดที่เกิดระเบิด ระยะทางราว 3 กิโลเมตร และยังคงร่วมกับตำรวจในพื้นที่ รวมทั้งฝ่ายปกครอง เข้าไปคุมพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง อย่างต่อเนื่อง จนกว่าการตรวจสอบพื้นที่และการซ่อมแซมรางรถไฟจะแล้วเสร็จและกลับมาเดินรถตามปกติ


ผลพวงของระเบิดซ้ำลูกสอง เมื่อวานนี้ ทำให้แผนการเข้าไปกู้ขบวนรถไฟที่ตกรางและการซ่อมแซมรางต้องล่าช้าออกไปอีกอย่างน้อย 2 วัน เนื่องจากหน่วยซ่อมบำรุงทางและหน่วยยกรถของการรถไฟฯ ยังไม่มั่นใจในความปลอดภัย ต้องรอเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเคลียร์พื้นที่อย่างละเอียด จนมั่นใจว่าปลอดภัยสูงสุด ถึงจะเริ่มเข้าไปกู้ขบวนรถและซ่อมแซมรางได้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่การรถไฟฯ ถอนกำลังออกจากพื้นที่ชั่วคราว เพื่อรอการส่งมอบพื้นที่จากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง

ในส่วนของระเบิดลูกสอง เกิดขึ้นห่างจากหลุมระเบิดลูกแรกประมาณ 200 เมตร และอยู่ห่างจากทางข้ามทางรถไฟ 300 เมตร พบวัตถุพยาน ทั้งชิ้นส่วนถังแก๊สปิกนิก ขนาด 4 กิโลกรัม แบตเตอรี่ ขนาด 1.5 โวลต์ สีแดง ชิ้นส่วนสายไฟสีขาว ชิ้นส่วนปลั๊กตัวผู้และปลั๊กตัวเมีย ชิ้นส่วนเหล็กเส้นตัดคละขนาด 8 มิลลิเมตร เจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 9 ได้เก็บไปตรวจสอบแล้ว

ขณะที่การระเบิดซ้ำถึง 2 ครั้ง ในเส้นทางรถไฟสายหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ พื้นที่หมู่ 2 บ้านท่าโพธิ์ออก ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา ทำให้การซ่อมบำรุงเส้นทางรถไฟต้องเลื่อนกำหนดออกไป จากเดิมที่ประเมินว่าจะสามารถเปิดใช้เส้นทางตามปกติในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ เนื่องจากมีความเสียหายเพิ่มขึ้น ทำให้ขบวนรถไฟระหว่างประเทศ กัวลาลัมเปอร์-หาดใหญ่ ที่กำหนดจะเดินทางมายังสถานีรถไฟหาดใหญ่ ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ต้องปรับเปลี่ยนเส้นทาง โดยขบวนรถจะสิ้นสุดปลายทางที่สถานีรถไฟปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จากนั้นนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ประมาณ 400 คน จะเดินทางโดยรถบัสไปยัง อ.หาดใหญ่ ต่อไป ส่วนอีก 2 เที่ยวของเดือนธันวาคม ขณะนี้ยังไม่มีการเลื่อนการเดินทางแต่อย่างใด


ด้านนายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าฯ สงขลา พร้อมที่จะถอดบทเรียน เพื่อปรับแผนในการรักษาความสงบเรียบร้อยร่วมกับทุกหน่วยงาน โดยเน้นย้ำให้ดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันเมือง

สำหรับความคืบหน้าคดีระเบิดเส้นทางรถไฟในพื้นที่ ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา ล่าสุด พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ระบุว่า มีความคืบหน้ามาก จากวัตถุพยานที่ได้ในที่เกิดเหตุ รวมถึงการสอบปากคำพยาน โดยกำหนดกรอบกลุ่มเป้าหมายที่ก่อเหตุในครั้งนี้เอาไว้แล้ว

คุมเข้มเส้นทางรถไฟสถานีตันหยงมัส จ.นราธิวาส

ส่วนที่ จ.นราธิวาส นายอำเภอระแงะ พร้อมผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 และรองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม สภ.ระแงะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติและพบปะให้กำลังใจประชาชน ที่บริเวณสถานีรถไฟตันหยงมัส อ.ระแงะ หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดเส้นทางรถไฟ อ.สะเดา จ.สงขลา โดยกล่าวว่า การดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอระแงะ บูรณาการทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และประชาชน มีการประชุมวิเคราะห์สถานการณ์กันตลอด ขณะนี้เน้นย้ำการดูแลเส้นทางรถไฟ ซึ่งในพื้นที่จะเชื่อมต่อ อ.ระแงะ กับ อ.รือเสาะ มีประชาชนเข้ามาช่วยดูแล ร่วมกับทหารและตำรวจ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนช่วยสังเกต สอดส่องดูแลพื้นที่ หากพบเห็นสิ่งผิดปกติ แจ้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่โดยตรง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือโทร. ศปก.อำเภอระแงะ 073-671344 หรือสายด่วน 1341

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ผู้บัญชาการทหารบก แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ได้สั่งการและกำชับมาตรการในการรักษาความปลอดภัยเส้นทางรถไฟ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นปลอดภัยให้กับประชาชน บูรณาการทุกภาคส่วนในการดูแลเส้นทางรถไฟ การใช้โดรนหรืออากาศยานไร้คนขับในการตรวจการณ์ทางอากาศ ในพื้นที่สูงข่ม ท่อลอด คอสะพาน ที่ยากต่อการตรวจสอบ

ด้านประชาชนที่มาใช้บริการรถไฟ ยอมรับว่า หลังเกิดเหตุรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เพราะในพื้นที่ยังมีสถานการณ์ความไม่สงบ แต่เชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ ที่ดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมขอให้ประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแล เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

เช่นเดียวกับเสมียนรถไฟสถานีตันหยงมัส ก็ยังมีขวัญกำลังใจที่ดี ผู้บังคับบัญชาทุกระดับให้กำลังใจและสอบถามความเป็นอยู่. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง