โซเชียลเดือด! วัยรุ่น 18 ทำร้ายเด็ก 14 ดับ โพสต์โชว์กร่าง พ่อรวยช่วยตลอด มั่นใจไม่ผิด

9 พ.ย. – คดีวัยรุ่นอายุ 18 ฆ่าเพื่อนรุ่นน้องวัย 14 ปี กำลังร้อนระอุ หลังผู้ก่อเหตุนำเรื่องราวดังกล่าวไปโพสต์โชว์กร่างในโซเชียลอย่างไร้สำนึก ล่าสุดถูกแจ้งข้อหาเจตนาฆ่าเพิ่มเติม


จากคลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นของวัยรุ่น 18 ที่พูดถึงเหตุการณ์การทำร้ายร่างกายเด็กชายวัย 14 ปี จนเสียชีวิต ซึ่งโลกโซเชียลกำลังให้ความสนใจจำนวนมาก ในคลิปวัยุร่น 18 ปี บอกว่า มั่นใจตัวเองไม่ผิด จึงไม่หนี บ้านผมรวย พ่อผมช่วยผมตลอด ถ้าอยากมีเรื่องกันก็ไปฟ้องศาลเอา แล้วให้ญาติผู้ตายไปหาหลักฐานมาว่าตัวเองผิดยังไง จะผิดก็แค่ทำร้ายร่างกาย โดนแค่ไม่กี่ปี

และยังอ้างว่า ตัวเองฉลาด รู้กฎหมาย งานศพก็ช่วยเท่าที่ไหว ช่วยมากสุด 2,000 แต่ไม่สน ทำไมจะต้องเสียเงิน ผมขายยา ขายปืน ตำรวจเอาเรื่องผมไม่ได้ หลักฐานไม่มี ตำรวจก็จับไม่ได้ ผมเป็นเด็กฉลาด ผมดูแลตัวเองได้ อายุ 18 โตแล้ว ไม่ต้องมาสอน


ทีมข่าวสำนักข่าวไทย ได้ติดต่อสอบถามทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ซึ่งได้ให้ความเห็นว่า กรณี ของคดีวัยรุ่น 18 ปี ฆ่าเด็ก 14 ปี หากมีการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยแล้ว และปรากฏมีคลิปเสียง และจำเลยวัยรุ่น 18 รายนี้ ไปพูดตามคลิปเสียงนี้ และโพสต์ในลักษณะว่า จะรอดคดี พ่อแม่ช่วย ตำรวจจับไม่ได้ มีทนายเขียนสำนวนดี รวมทั้งการโพสต์ในลักษณะท้าทายญาติฝ่ายผู้เสียชีวิตว่า ให้เวลา 3 วัน ถ้าสิ่งที่พูดทั้งหมดนี้ทำจริง แล้วมีการปล่อยตัวชั่วคราวไปแล้ว ประเด็นนี้ ขอให้พนักงานสอบสวนในคดี ไปร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะมีลักษณะทั้งการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และการยุ่งเกี่ยวกับหลักฐาน พยาน ข่มขู่พยาน หรือไม่

สำหรับประเด็นสำคัญ ในคดีเด็ก 18 ฆ่าเด็ก 14 มีอยู่ 7 ประเด็นสำคัญคือ วัยรุ่นอายุ 18 ปี ฆ่า เด็กอายุ 14 ปี วัยรุ่น 18 ปี บอกเด็กถือมีดออกมาก่อน พยานเห็นบอกเด็ก 14 ไม่ได้ถือมีด วัยรุ่น 18 ประกันตัวออกมา 20,000 เด็ก 18 ข่มขู่พี่เด็ก 14 วัยรุ่น 18 ไม่มีความสำนึกใด บอกตัวเองรวย ขายยา พ่อแม่สนับสนุน จะรอดคดี และวัยรุ่น 18 มั่นใจว่าไม่ผิด และจะช่วยงานศพ แค่ 2,000

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พ.ย. คลิปจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์วันเกิดเหตุ ขณะที่วัยรุ่นชายอายุ 18 ปี (เสื้อสีดำ) ตะโกนโวยวาย ก่อนเข้าไปทำร้ายเด็กชายอายุ 14 ปี ซึ่งอยู่หลังกล้องวงจรปิด ขณะคนที่เห็นเหตุการณ์พยายามเข้าไปห้ามปราม และนำตัวเด็ก 14 ส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายเด็กชาย 14 ปี เสียชีวิตที่โรงพยาบาลระยอง เมื่อวันที่ 6 พ.ย.65 ด้วยอาการเลือดคั่งในสมอง


ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.65 โลกออนไลน์ มีการติดแฮชแท็ก #เด็ก18ฆ่าเด็ก14 โดยมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากวัยรุ่นอายุ 18 ปี ถูกจับ เขาอ้างว่าฝ่ายผู้เสียชีวิตได้ถือมีดจะฟันตนเองก่อน จึงต้องป้องกันตัว จนถูกแจ้งข้อหาฆ่าคนตาย ต่อมามีคนไปประกันตัวที่โรงพักในวงเงิน 20,000 บาท และเมื่อได้ประกันออกมาแล้ว ก็มีการโพสต์สตอรี่ว่าตัวเองไม่ผิด และจะไปเที่ยวงานลอยกระทง ทำให้เกิดดราม่าต่างๆ ตามมามากมาย

ขณะที่เมื่อวานนี้ ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปงานสวดอภิธรรมศพ เด็กชายวัย 14 ปี พบกับญาติของเด็กชายที่อยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจ พร้อมเล่าว่า ผู้ตายเป็นเพื่อนกับวัยรุ่น 18 ปี เคยมากินนอนเล่นด้วยกันอยู่ที่บ้านประจำ และไม่เคยคาดคิดว่าเด็ก 18 จะทำร้ายกันจนถึงขั้นเสียชีวิต ในวันเกิดเหตุคือวันที่ 3 พ.ย. 65 เวลาประมาณเที่ยงเศษ วัยรุ่นอายุ 18 ปี ขี่รถจักรยานยนต์มาที่บ้าน ก่อนเรียกเด็กชายอายุ 14 ปี ให้ออกไปพูดคุยกันบริเวณหน้าบ้าน

หลังจากออกมามีปากเสียงทะเลาะเสียงดัง จากนั้นวัยรุ่นอายุ 18 ปี กระโดดถีบเข้าหน้าอกเด็กชายอายุ 14 ปี ล้มลง แล้วใช้สายไฟฟาดตีซ้ำเข้าบริเวณศีรษะและตามร่างกาย จนเพื่อนบ้านและผู้เห็นเหตุการณ์เข้าไปห้ามปรามและแยกตัวออกจากกัน

จากนั้นเด็กชาย 14 ปี ได้เดินเข้าบ้าน ล้มฟุบลงกับพื้น ชักกระตุก วัยรุ่น 18 ปีจึงพาไปส่งศูนย์สาธารณสุขในหมู่บ้าน และต้องส่งต่อโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติมาบตาพุด แต่อาการสาหัส เนื่องจากเลือดคั่งในสมอง แพทย์จึงส่งต่อไปโรงพยาบาลระยอง พอไปถึงโรงพยาบาล แพทย์บอกว่า หลานชายสมองตายแล้ว และขอให้ญาติทำใจ จนวันที่ 6 พ.ย. 65 จึงเสียชีวิตในที่สุด

ส่วนสาเหตุทำร้าย คาดว่าน่าจะเกิดจากการเข้าใจผิดของแก๊งวัยรุ่น เพราะในพื้นที่ตำบลห้วยโป่ง มาบตาพุด มีแก๊งวัยรุ่น 2 กลุ่ม เป็นอริกัน คือ แก๊งกลุ่มเด็กห้วยโป่ง และแก๊งกลุ่มเด็กบ้านแขก หลานชาย อายุ 14 ปี มีเพื่อนอยู่ทั้ง 2 กลุ่ม และไปมาหาสู่กันประจำ

ขณะที่ผู้ก่อเหตุอายุ 18 ปี อยู่แก๊งกลุ่มเด็กห้วยโป่ง เกิดความไม่พอใจที่หลานชายอายุ 14 ปี ไปคบหากับแก๊งกลุ่มเด็กบ้านแขก ที่ผ่านมาเคยขู่จะทำร้าย หากยังคบกับแก๊งกลุ่มเด็กบ้านแขก พร้อมยื่นคำขาด อย่าเข้ามาในเขตห้วยโป่งเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อจะถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดทางญาติทราบเรื่องมาตลอด แต่ไม่คาดคิดว่าจะกล้าทำร้ายกันรุนแรงเช่นนี้

ทางครอบครัวจึงอยากเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากตำรวจให้ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา เพราะผู้ก่อเหตุนำเรื่องราวดังกล่าวมาโพสต์เหมือนเป็นการเยาะเย้ยและข่มขู่ทางครอบครัว ทั้งที่ตำรวจบอกว่าได้จับกุมตัวส่งศาลและเรือนจำแล้ว แต่เฟซบุ๊กของผู้ก่อเหตุก็ยังเคลื่อนไหว และโพสต์ข้อความในเชิงข่มขู่ครอบครัวของตน

หลังวัยรุ่น 18 ได้รับการประกันตัวออกไปในข้อหาทำร้ายร่างกายทำให้บาดเจ็บสาหัส เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นเด็ก แต่เมื่อผู้ก่อเหตุได้ประกันออกมาแล้ว ทางตำรวจเห็นพฤติการณ์ของผู้ก่อเหตุว่าไม่มีสามัญสำนึก และในวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ผู้บาดเจ็บเสียชีวิต พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อเจตนาฆ่าเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านผู้ก่อเหตุ ต.ห้วยโป่ง อ.เมือง จ.ระยอง พบกับแม่เลี้ยง พร้อมบอกว่า ไม่ขอพูดหรือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลูกเลี้ยงคนนี้ไม่มีงานทำ เรียนไม่จบ มาอาศัยอยู่กับพ่อที่บ้านหลังนี้ แต่ไม่ค่อยอยู่บ้าน ส่วนพ่อไปทำงาน หลังก่อเหตุและได้รับการประกันตัวออกมา ผู้ก่อเหตุมาบ้านเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน และอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านทันที จนขณะนี้ยังไม่พบเห็นหน้า

อย่างไรก็ตาม ในส่วนคดี พนักงานสอบสวน สภ.ห้วยโป่ง เจ้าของคดี ได้เรียกเพื่อนของผู้ก่อเหตุมาสอบปากคำ ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในคลิป ใส่เสื้อยืดสีขาว นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มากับผู้ก่อเหตุ โดยยอมรับว่าวันเกิดเหตุไปกับผู้ก่อเหตุจริง แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายผู้เสียชีวิต หลังจากสอบปากคำแล้วเสร็จ พนักงานสอบสวนปล่อยตัวไป

ส่วนกรณีการประกันตัวของผู้ก่อเหตุนั้น ผู้สื่อข่าวสอบถามกับนายประกันที่ศาลจังหวัดระยอง รายหนึ่ง ระบุว่า ศาลอนุญาตให้ประกันตัวออกไปจริงเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ก่อนที่คู่กรณีเด็ก 14 จะเสียชีวิต 1 วัน โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 20,000 ยื่นประกันตัว ศาลพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัวออกไป ส่วนเหตุผล ศาลคงมีดุลยพินิจอยู่แล้วว่าข้อหาที่ผู้ก่อเหตุถูกแจ้งกล่าวหานั้น น่าจะเป็นข้อหาทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ประกอบกับคาดว่าประวัติของผู้ก่อเหตุ ไม่เคยมีคดีติดตัว ศาลจึงอนุญาตให้ประกันตัว แต่ต้องติดกำไลอีเอ็ม แต่เนื่องจากในวันนั้นเป็นวันหยุด เจ้าหน้าที่ติดกำไลอีเอ็มไม่มี ศาลจึงนัดให้นายประกันซึ่งเป็นพ่อของเพื่อนผู้ก่อเหตุ นำตัวมาติดกำไลอีเอ็ม วันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ หรือในวันพรุ่งนี้ ที่ศาลจังหวัดระยอง เวลาประมาณ 09.00 น.

ผู้สื่อข่าวสอบถามพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุจากเพื่อนบ้านในชุมชนเดียวกันต่างระบุว่า วัยรุ่นคนดังกล่าวมีพฤติกรรมเกเร งานไม่ทำ และมักจะมีเรื่องก่อเหตุบ่อยครั้ง. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]