ยันพล.ต.อ.สมยศ นำสายประสิทธิ ตรวจความเร็วรถบอส อยู่วิทยา

รัฐสภา 19 ส.ค.- “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” เปิดชื่อ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” เอี่ยวพา “สายประสิทธิ์” พบพนักงานสอบสวน เรื่องความเร็วรถ “บอส อยู่วิทยา” กลางกรรมาธิการฯ แต่แจงไม่ตรงกับ “พล.ต.อ.มนู -พ.ต.อ.วิรดล” ที่ยันไม่ได้มา พร้อมลั่นไม่มีอำนาจก้าวก่าย ขณะที่ถูกกมธ.จี้ ถามปมคำนวณความเร็ว ด้าน “ธานี” ปัดชี้นำอัยการสูงสุด และไม่เคยมีมติให้ “พล.ต.อ.สมยศ” ไปพบพนักงานสอบสวน


คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธาน ประชุมร่วมกับ คณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎรที่มี นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน เพื่อพิจารณาคดีนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต

คณะกรรมาธิการฯ เชิญ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.วิรดล ทัมทิบดี อดีตผู้กำกับ สน.ทองหล่อ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และนายธานี อ่อนละเอียด ส.ว. แต่ พล.ต.อ.สมยศ ได้ส่งหนังสือเลื่อนการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ โดยไม่ได้ระบุว่าจะมาชี้แจงในวันใด แต่ในหนังสือระบุว่า คณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เคยพิจารณาเรื่องนี้ไว้แล้ว สามารถสืบค้นได้จากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร


พล.ต.อ.มนู ชี้แจงถึงการสอบปากคำ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เรื่องการตรวจวัดความเร็วรถได้ 177 กม.ต่อ ชม.โดยยอมรับว่า ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559ได้เรียก พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ และผู้บังคับการพิสูจน์หลักฐานกลาง นายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์มหาวิทยาเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ พ.ต.อ.วิรดล ให้มาเข้าพบ ยืนยันว่า พิสูจน์หลักฐานเป็นหน่วยงานอิสระ ฉะนั้น ใครจะแทรกแซงก้าวก่ายไม่ได้ ผู้บังคับบัญชาไม่สามารถไปกดดันได้เลย ตนปล่อยให้ทั้ง 3 ฝ่ายคุยกันอย่างอิสระ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมของแต่ละฝ่าย และมารู้ภายหลังว่า สรุปแล้วความเร็ว 79 กม.ต่อ ชม. ซึ่งส่วนตัวเข้าใจว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าการคำณวนของนายสายประสิทธิ์ถูกต้อง จึงเปลี่ยนคำให้การจาก 177 กม.ต่อ ชม. เป็น 79 กม.ต่อ ชม.

ทั้งนี้ เมื่อกรรมาธิการพยายามซักถามว่า เหตุใดจึงมีชื่อของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ดำรงตำแหน่ง สนช. ในขณะนั้นมาเกี่ยวข้อง ซึ่งพล.ต.อ.มนู ยืนยันว่า พล.ต.อ.สมยศ ไม่ได้มาด้วย และไม่มีทางที่ใครจะสั่งนักวิทยาศาสตร์ได้ การพิสูจน์หลักฐานมีความเป็นอิสระ ไม่มีใครก้าวก่ายได้พร้อมยืนยันว่าไม่รู้จักกับนายสายประสิทธิ์ เป็นการส่วนตัว แต่เห็นว่า นายสายประสิทธิ์เคยมาช่วยกองพิสูจน์หลักฐานกลางหลายคดี โดยเฉพาะคดีของเสี่ยชูวงษ์ และยังเคยเป็นอาจารย์บรรยายเรื่องความเร็วให้กับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน

ขณะที่ พ.ต.อ.วิรดล ยืนยันว่า ไม่รู้จักนายสายประสิทธิ์ เพียงแต่เห็นมีบุคคลภายนอกหนึ่งคนอยู่ในห้องของ พล.ต.อ.มนู ซึ่งเป็นผู้บัญชาการพิสูจน์หลักฐานกลางในขณะนั้น และในวันดังกล่าว ตนแค่บังเอิญเข้าไปสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจาก พ.ต.อ.ธนสิทธิ์


นายรังสิมันต์ โรม กรรมาธิการฯตั้งคำถามว่า ตกลงใครเป็นผู้นำนายสายประสิทธิ์เข้ามาคำนวณความเร็วในคดีนี้ เพราะแต่ละคนชี้แจงว่า ไม่รู้จัก นายสายประสิทธิ์สักคน ทำให้พล.ต.อ.มนู ยอมรับว่า ตนก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนพามา แต่เข้าใจว่า พนักงานสอบสวนในคดีนี้นำนายสายประสิทธิ์เข้ามา และช่วงนั้น นายสายประสิทธิ์อาจจะมีวิธีการคำนวณความเร็วในแบบฉบับของนายสายประสิทธิ์ แต่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ อาจจะไม่มีเวลาดูว่า วิธีการคำนวณมีข้อผิดพลาดอย่างไร จึงเชื่อโดยสนิทใจ แต่ไม่กี่วันผ่านไป กลับไปทบทวน ก็ได้ความเร็วเท่าเดิมคือ 177 กม.ต่อ ชม. แต่พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนไปให้อัยการแล้ว

จากการชี้แจงของ พล.ต.อ.มนู ทำให้ นายรังสิมันต์ พยายามซักถามอีกว่า ก่อนหน้านี้ ตามเอกสารของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ระบุว่า พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนนำนายสายประสิทธิ์ เข้ามา ด้านพ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ชี้แจงเพียงสั้น ๆ ว่า ตนได้ส่งเอกสารให้นายสิระทั้งหมดแล้ว ขอยืนยันตามเอกสาร

นายรังสิมันต์ ตั้งข้อสังเกตว่า อยู่ดี ๆ นายสายประสิทธิ์จะเดินเข้ามาเองไม่ได้ พล.ต.อ.มนู เป่าคดีหรือไม่ ทำให้ พล.ต.อ.มนู พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า มากล่าวหาว่าเป็นคนเป่าคดี หมายความว่าอย่างไร ซึ่งนายรังสิมันต์ ตอบว่า เป็นเพียงการตั้งคำถามเท่านั้น

จากนั้น กรรมาธิการฯ ได้ซักถามย้ำถึง คนที่นำนายสายประสิทธิ์เข้ามาคำนวณความเร็ว โดย พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ยังยืนยันเช่นเดิมว่า เป็นไปตามเอกสารที่ส่งให้ และเมื่อกรรมาธิการฯ ถามว่า คือ พล.ต.อ.สมยศ ใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ก็ตอบกลับว่า ครับ

ขณะที่ พล.ต.อ.มนู กล่าวว่า ประเด็นของคดีนี้ ไม่ได้อยู่ที่ใครนำนายสายประสิทธิ์เข้ามา เพราะไม่มีใครสามารถก้าวก่ายแทรกแซงได้อยู่แล้ว แต่ประเด็นอยู่ที่การคำนวณความเร็วมากกว่า ไม่ว่าใครจะพานายประสิทธิ์มา ก็ไม่มีผลอะไร และหาก พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ถูกกดดันจริง ในวันนั้น ก็สามารถมาบอกตนให้แก้ปัญหาได้ และจะทำให้ไม่เกิดปัญหามาจนถึงทุกวันนี้

ต่อมา นายรังสิมันต์ ได้ถามย้ำพล.ต.อ.มนู ว่า ในวันดังกล่าว พล.ต.อ.สมยศ นำนายสายประสิทธิ์ มาจริงหรือไม่ โดยพล.ต.อ.มนู ไม่ตอบ และขอตัวออกจากห้องประชุม เนื่องจากต้องไปชี้แจงกรรมาธิการงบประมาณ และได้ย้ำกับสื่อมวลชนขณะออกจากห้องประชุมกรรมาธิการฯว่า ในวันนั้น ตนไม่เห็น พล.ต.อ.สมยศ ตามข้อมูลของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ในฐานะ ผบ.สอบสวน หลักฐานตำรวจ ยืนยันมีความอิสระ ไม่มีใครมาก้าวก่าย ถ้าผิดพลาดยังสามารถร้องให้หน่วยงานอื่นตรวจสอบได้ ขอยืนยันว่า ไม่ว่าใครพามาก็แล้วแต่ ไม่มีผลอะไรเลย ไม่มีสาระสำคัญอะไร และถ้า พ.ต.อ. ธนสิทธิ ไม่ไหว ตั้งแต่วันนั้นก็บอกตนได้

เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.วิรดล ที่ยืนยันว่า ตนไปคนเดียว ไม่ได้ไปกับ พล.ต.อ.สมยศ และเห็นว่าการสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้ เป็นเรื่องของพนักงานอัยการ

เมื่อถูกกรรมาธิการสอบถามหลายครั้งที่สุด พ.ต.อ.ธนสิทธิ ยอมเปิดเผยชื่อชัด ว่าพล.ต.อ.สมยศ มาพร้อมพ.ต.อ.วิรดล นำนายสายประสิทธิ์ มาพบเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 จากนั้น ชี้แจงเหตุการณ์ อย่างละเอียดขั้นตอนการเก็บหลักฐาน การพิจารณาความเร็ว ที่เชื่อการคำนวณของนายสายประสิทธิ เพราะเห็นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และเมื่อได้ทบทวน แล้วมาพบความคลาดเคลื่อนก็ได้พยายามรายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อขอแก้ไขให้ถูกต้อง แต่ได้รับแจ้งว่าหมดอายุความแล้ว ส่วนที่ระบุว่ากดดัน และมีความเครียด เป็นเพราะเป็นการคำนวณดังกล่าวเป็นรูปแบบใหม่ อีกทั้ง มีอดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงมาพบ ส่วนเรื่องความปลอดภัย ขณะนี้นายวิชา มหาคุณ ประสานตำรวจคุ้มครองพยานเข้ามาดูแลแล้ว

กรรมาธิการฯได้ซักถาม พ.ต.อ.วิรดล ถึงกรณีที่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ พยายามขอเปลี่ยนแปลงคำให้การเพื่อยืนยันความเร็วที่ 177 กม.ต่อ ชม.เหมือนเดิม เพราะเห็นว่า การคำนวณของนายสายประสิทธิ์ผิดพลาดนั้น พ.ต.อ.วิรดล กล่าวว่า เนื่องจากได้ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการไปแล้ว และขณะนั้น ตนได้ย้ายออกไป ไม่ได้เป็นผู้กำกับ สน.ทองหล่อแล้ว ประกอบกับ มีอีกคดีหนึ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบ ทำให้ไม่ได้สนใจ

พ.ต.อ.วิรดล ยังยอมรับว่า ใส่วันที่สอบ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เท็จ เนื่องจากมีความผิดพลาดในเรื่องของคำให้การที่ตอนแรกตั้งใจว่า จะสอบเรื่องความเร็วอีกครั้งในวันที่ 2 มีนาคม แต่ปรากฎว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แจ้งว่า ได้ผลการคำนวนตั้งแต่ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ จะเอาไปเลยหรือไม่ พ.ต.อ.วิรดล จึงจะรับรายงานไปเลย พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ จึงได้ทำรายงานการคำนวณให้ ประกอบกับ พนักงานอัยการเร่งรัดให้ส่งสำนวน จึงไม่ได้สอบปากคำ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ อีกครั้งในวันที่ 2 มีนาคมตามที่ตั้งไว้ แต่ยืนยันว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ ได้ยืนยันความเร็วที่ 79 กม.ต่อ ชม.มาตลอด จนถึง 2 มีนาคม แต่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ เพิ่งจะมาขอเปลี่ยนในวันที่ 20 มีนาคม ซึ่งขณะนั้นได้ส่งสำนวนไปเรียบร้อยแล้ว

พ.ต.อ.วิรดล ยังเปิดเผยไทม์ไลน์พยานสำคัญ 2 ปากว่า นายจารุชาติ มาดทอง เข้ามาเป็นพยานในคดีนี้ตั้งแต่ปี 2555 แต่ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร เข้ามาเป็นพยานในสำนวนเมื่อปี 2558 โดยคำสั่งของอัยการ ให้พนักงานสอบสวนสอบพยานปากนี้เพิ่ม

ขณะที่นายธานี อ่อนละเอียด ยืนยันว่า กรรมาธิการ สนช. ดำเนินการถูกต้องทุกประการ ไม่มีอำนาจสั่งการอัยการหรือพนักงานสอบสวน เพียงมีการร้องขอความเป็นธรรมมายัง กรรมาธิการจึงต้องตรวจสอบและส่งเรื่องให้อัยการ เปรียบเสมือนพนักงานไปรษณีย์ ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักนายสายประสิทธิ์ และไม่ทราบว่าเคยไปคำนวณความเร็วในชั้นพนักงานสอบสวน ก่อนมาชี้แจงในกรรมาธิการ สนช.

กรรมาธิการพยายามสอบถามนายธานี ว่ารายงานของ สนช. ชี้นำอัยการสูงสุดให้เชื่อในพยานที่เพิ่มเข้ามาหรือไม่ ทำให้นายธานี ย้อนว่า เป็นการกล่าวหาเกินไป เพราะในรายงานเขียนแค่ข้อเท็จจริงที่พยานแต่ละคนให้การมาเท่านั้น และยืนยันไม่เคยมีมติให้พล.ต.อ.สมยศ ไปพบพนักงานสอบสวน

นายรังสิมันต์ โรม ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใด กรรมาธิการ สนช. สอบคนละประเด็นที่บอส วรยุทธ ร้องมา และเหตุใด ไม่เชิญพ.ต.อ.ธนสิทธิ์ มาชี้แจงเรื่องความเร็ว แต่เชิญนายสายประสิทธิ์ มาชี้แจง ถือเป็นความบกพร่องของการทำงาน สนช. เวลานั้น หรือไม่ และกรรมาธิการ สนช. อาจมีส่วนรู้เห็นในคดีนี้หรือไม่ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าในเอกสารายงานการประชุม กรรมิการ สนช. นั้น ได้มีการประชุมลับหัวข้อใดเพราะดูเหมือนว่าจะมีการหารือเรื่องความเร็วในช่วงนั้นพอดีและเอกสารช่วงนั้นหายไป 8 หน้า อีกทั้งเป็นการประชุมนัดสุดท้าย ก่อนที่จะส่งความเห็นไปยังอัยการ ซึ่งนายธานี ระบุว่า มีเวลาจำกัดในการทำงาน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” อุบตอบรายละเอียดถก GBC บอกทิศทางดี

ทำเนียบรัฐบาล 6 ส.ค.- “ภูมิธรรม” อุบตอบรายละเอียดถก GBC ไทย-กัมพูชา ขอพูดทีเดียวหลังเจรจา บอกทิศทางดี ด้าน “บิ๊กเล็ก” หวังพรุ่งนี้มีข่าวดี มั่นใจ 90% ยอมรับกังวลบ้าง แต่มีผู้สังเกตการณ์ประเทศอื่น เขมรคงไม่กล้า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรีชุดเล็ก ว่า ที่ประชุมวันนี้ได้รับฟังข้อมูลจากคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ฝ่ายเลขานุการ รายงานผลการหารือ ในช่วงวันที่ 4-6 สิงหาคม จากการพูดคุยมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี โดยจะแถลงรายละเอียดเมื่อมีการหารือเสร็จสิ้นในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้ (7 ส.ค.68) ซึ่งการเจรจาในวันพรุ่งนี้ได้ให้แนวทาง พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเข้าร่วมการประชุม เพื่อให้ได้ข้อยุติอย่างดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าในการหารือครั้งนี้จะไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่สามารถตอบได้ ด้านพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังการประขุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ว่า มีความมั่นใจ […]

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจสอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย