รัฐสภา 22 ก.ค. – “พิธา” อัด 3 แกนนายก คือ 3 กลวง และมีแต่ทำลาย สร้างโรคระบาดจากความผิดพลาด ล้มเหลว จากการประหารประเทศอย่างร้ายแรงทำให้ตัวเลขคนจบชีวิตด้วยตัวเองมากกว่าตายจากโควิด
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวหาบริหารประเทศบกพร่อง สร้างความเสียหายทุกด้าน เพิ่กเฉยปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต เอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง เป็นต้นตอให้ปัญหาที่มีอยู่ซับซ้อนขยายวงกว้าง ทำคนไทยมืด 8 ด้าน ไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน ไม่มีอนาคต ส่วนกลยุทธ์ 3 แกนสร้างอนาคต เมื่อไปดูในรายละเอียดก็พบว่า เป็น 3 กลวง เพราะไม่ว่าจะเป็นคนที่รวยที่สุดหรือคนที่จนที่สุดในประเทศไทย ก็ไม่มีใครรู้เรื่องว่านายกต้องการสื่ออะไร เป็นของปลอมที่มีแต่เพียงเปลือก อย่างแกนที่ 1.โครงสร้างพื้นฐานก็ช้าและมีแต่จะเจ๊ง แกนที่ 2.อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มต้นช้าตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน ความหวังเป็นศูนย์กลางแทบไม่มีทางเป็นไปได้ และ แกนที่ 3.การเงินการธนาคารที่จะให้คน 30 ล้านเข้าถึงขนาดมีอำนาจเต็มยังทำไม่ได้ อีกทั้งแผนการเงินที่พูดมาก็เป็นสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ และผู้บริหารธนาคารระดับประเทศเองก็บอกว่างงเป็นไก่ตาแตกกับแผนนี้
เรื่องที่ไว้วางใจไม่ได้มากที่สุดคือนายกรัฐมนตรีไม่รู้จักประชาชน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้ประชาชนนอนไม่หลับคือไม่มีความหวัง เงินเฟ้อทั้งปีสูงที่สุดในรอบ 24 ปี เงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 16 ปี หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปุ๋ยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาอาหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
3 แกนที่แท้จริงของพลเอกประยุทธ์คือ 3 ทำลาย คือ ทำลายศักยภาพในประเทศ ผ่านการบริหารที่ผิดพลาดล้มเหลว ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะมีแต่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีหนี้นโยบายและหนี้กองทุนน้ำมันที่ซุกไว้อีก ทำลายศักพยภาพของไทยในต่างประเทศ เพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่ทันโลก ไม่เจนจัดสนามการเมืองโลก ขาดลูกล่อลูกชน และโดยหลักการคือควรวางตัวเป็นกลางเพื่อรักษาสมดุลระหว่างประเทศกลับไม่ทำ เช่นกรณีเครื่องบินรบเมียนมา MIG-29 รุกล้ำน่านฟ้าไทยเข้ามายิงคนในประเทศตัวเอง ก็เสี่ยงที่จะทำให้ไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยลากขึ้นศาลได้ ขณะที่การตั้งผู้แทนพิเศษด้านเมียนมา ก็ดันไปเอาบุคคลที่มีมลทินเคยมีความผิดเกี่ยวกับความเป็นล็อบบี้ยิสต์มาดำรงตำแหน่ง และทำลายศักยภาพประชาชน ทำลายเสรีภาพของคนไทยทุกคน ละเมิดสิทธิประชาชนด้วยคดีความที่เป็นการทำลายนิติรัฐ ทำลายกติกาของการอยู่ร่วมกันของสังคมไทย เพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเอง โดยเฉพาะที่สำคัญคือการแอบอ้างเรื่องสถาบัน ที่ทำให้มีคนจำนวนมากถูกดำเนินคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ในช่วง 5 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ ตั้งแต่ก่อนโควิด คนตายจากความสิ้นหวังเพิ่มขึ้น 34% จากปีละ 1.4 หมื่นคน เป็นปีละเกือบ 2 หมื่นคน และถ้านำมาดูในช่วงโควิด มีคนไทยตายจากความสิ้นหวังที่รวมกับการเลือกจะจบชีวิตตัวเองจากการ ฆ่าตัวตาย เสพยาจนตาย กินเหล้าจนตาย ใน 2 ปีกว่าที่ผ่านมา พบว่ามีมากกว่า 4 หมื่นคน นี่คือโรคระบาดแห่งความสิ้นหวังที่มีคนตายมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด.-สำนักข่าวไทย