รัฐสภา 6 ก.ค.- กมธ.คุ้มครองผู้บริโภคเรียกทรู-ดีแทค แจงปมควบรวมกิจการ เชื่อ ลางสังหรณ์ปล่อยให้เกิดการควบรวม เข้าข่ายละเว้นหน้าที่ ม.157 หากไม่มีมาตรการใด ๆ เพื่อผู้บริโภค
นายมานะ โลหะวณิชย์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการเรียกเชิญตัวแทนที่เกี่ยวข้องเข้าหารือติดตามความคืบหน้ากรณีผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) กับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คแซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยประธาน กมธ.แจ้งว่า ในส่วนของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส ได้ส่งตัวแทน CEO มาเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ขณะที่ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ทำหนังสือการไม่เข้าชี้แจงมายัง กมธ. เช่นเดียวกับ ทรู และ ดีแทค โดยระบุเหตุผลว่า “บริษัททั้งสองยังอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาและหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ และหลาย ๆ ปัจจัยที่ยังมีความละเอียดอ่อนสูงซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการวิเคราะห์และพิจารณาร่วมกันระหว่างผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ”
ทั้งนี้ ภาพรวมการหารือ กมธ.ได้พยายามตั้งคำถามไปยังตัวแทนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ถึงอำนาจในการพิจารณาการควบรวมกิจการ และความเหมาะสมของการควบรวม
โดยนายคณพล ตุ้ยสุวรรณ ที่ปรึกษา กมธ. กล่าวว่า การควบรวมของ 2 บริษัท ถือเป็นการควบรวมครั้งใหญ่ ที่สุดในประเทศไทย ที่มีมูลค่าถึง 217,000 ล้านบาท และหากทั้ง 2 บริษัทรวมกันแล้วจะสามารถทำกำไรได้ถึงปีละ 83,000 ล้านบาท อาจมีผลกระทบไปถึง GDP รายได้ต่าง ๆ ของประเทศ นอกจากนี้ยังพบว่า การควบรวมจะกระทบต่อส่วนแบ่งการตลาด 52% นำไปสู่การกระจุกตัว เกิดค่าดัชนี HHI 5,102 เพิ่มจาก 3,659 หรือเพิ่มขึ้น 1,353 เรียกว่า เป็นการกระจุกตัวอย่างมหาศาล เลยไปสู่การมีอำนาจเหนือตลาด และกำลังจะแตะระดับการผูกขาดแล้วในขณะที่รัฐและผู้เสียภาษีจะได้รับประโยชน์อย่างไร และมีการมองกันว่าในการประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่จะทำให้รัฐจะเสียประโยชน์อย่างแน่นอน โดยจากการศึกษาในต่างประเทศว่าในประเทศที่มี 4 บริษัทจะได้ภาษีมากกว่าประเทศที่มี 3 บริษัท ในขณะที่ไทยจาก 3 บริษัท เหลือ 2 บริษัท ยิ่งจะทำให้รัฐเสียเปรียบ นอกจากนี้ ยังมีข่าวที่ยังไม่ยืนยันว่าการจ่ายภาษีของทรูเวลานี้ยังต้องผ่อนจ่ายค่าสัมปทานคลื่นความถี่อยู่โดยอ้างว่าขาดทุน ในขณะที่ดีแทคมีความสามารถในการจ่ายภาษีเป็นอย่างดี ดังนั้นถ้าสองบริษัทมีการควบรวมกิจการ ทรูอาจจะได้ประโยชน์เป็นกำไรฟรี ๆ ถึง 1,586 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตัวแทน กสทช. ชี้แจงยืนยันว่า กสทช.มีอำนาจหน้าที่ดูแลมิให้เกิดการผูกขาด เป็นไปตามพรบ.กสทช. แต่ส่วนประเด็นการควบรวมได้ขอเวลาในการพิจารณา ซึ่งทำให้ กมธ.ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า กสทช.มีการพิจารณามา 4-5 เดือน แต่ทำไมจึงยังไม่มีคำตอบให้กับสังคม และมีลางสังหรณ์ว่า จะปล่อยให้เกิดการควบรวมโดยไม่กำหนดมาตรการใด ๆ เพื่อผู้บริโภค ซึ่งอาจเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
ด้านตัวแทน บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่า การอนุญาตควบรวมหรือไม่ เป็นอำนาจของ กสทช. แม้บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติฯ จะไม่มีอำนาจพิจารณา แต่ก็ได้ใช้สิทธิ์ให้ความเห็นแล้ว รวมถึงยังได้มีการศึกษาภาพรวมถึงผลกระทบต่อการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งจะกระทบตั้งแต่ส่วนแบ่งการตลาดของผู้ให้บริการ 3 ราย คือเอไอเอส 46% ทรู 32% และ ดีแทค 22% ซึ่งหากการควบรวมกิจการสำเร็จบริษัทใหม่จะมีส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่มากที่สุด คือ 54% และจากการวิจัยค่าดัชนี้ HHI ของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ เท่ากับ 3,624 ซึ่งสูงกว่า 1,800 แต่หากการควบรวมกิจการสำเร็จ ค่า HHI จะเท่ากับ 5,032 หรือเพิ่มขึ้น 1,408 เท่ากับว่าจะเกิดการปิดกั้นการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบการรายใหม่อย่างมีนัยสำคัญ เพราะสภาพตลาดไม่เอื้อต่อการแข่งขันอีกต่อไป อีกทั้งอาจนำไปสู่การปิดกิจการของผู้ประกอบการรายเล็กเดิมในตลาดด้วย รวมทั้ง MVNO ต้องปิดกิจการลง ดังนั้น แน่นอนว่าผู้บริโภคในอนาคตจะขาดทางเลือก ประสิทธิภาพใช้งานจะลดลง การติดต่อศูนย์บริการจะแออัดมากขึ้นเพราะมีการปิดตัวลงบางศูนย์เพื่อลดต้นทุน และคาดเดาว่ามีค่าบริการที่สูงขึ้น เพราะไม่มีความจำเป็นต้องออกราคาแข่งขันโปรโมชัน และนวัตกรรมใหม่ ๆ ลดลง จากเดิมที่มีการออกบริการใหม่ ๆ ที่สร้างความแตกต่างไม่ซ้ำกันจากผู้ให้บริการ 3 ราย.-สำนักข่าวไทย