เดินหน้าค้านตรวจรับงานสร้างรัฐสภา

รัฐสภา4 ก.ค.-“วัชระ-วิลาศ” ยื่นหนังสือค้านตรวจรับงานโครงการก่อสร้างรัฐสภา ทั้งที่ยังมีจุดบกพร่องหลายร้อยแห่ง ย้ำหากดื้อรับงานเตรียมเจอร้อง ป.ป.ช.แน่


นายวัชระ เพชรทอง นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือผ่านงานสารบรรณถึงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา นายปรีชา ชวลิตธำรง ที่ปรึกษาประธานรัฐสภา นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และนายสาธิต ประเสริฐศักดิ์ ประธานกรรมการตรวจการจ้างโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฯ เรื่อง ขอคัดค้านการตรวจรับงานแล้วเสร็จ 100% ของโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฯ ของคณะกรรมการตรวจการจ้างฯ ฉบับที่ 1

นายวัชระกล่าวว่า นับแต่วันที่ 30 เม.ย. 56 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ลงนามสัญญาเลขที่ 116/2556 และสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อว่าจ้างบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ จำนวน 12,280 ล้านบาท กำหนดเวลาแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธ.ค. 63 ซึ่งจนถึงวันนี้คือวันที่ 4 ก.ค. 65 รวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 3,353 วัน แต่ยังก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญานั้น จึงขอคัดค้านคณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจรับงานแล้วเสร็จโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฯ เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้งว่า การก่อสร้างดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จครบถ้วนตามข้อกำหนดในสัญญา


“ยังปรากฏโดยมีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า มีการใช้ชนิดของวัสดุไม่ตรงตามข้อกำหนดในสัญญาและไม่ตรงตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของผู้ออกแบบ เช่น  1. ต้นไม้ในโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฯ ยังไม่สามารถดำเนินการข้อกำหนดในสัญญาอย่างครบถ้วน มีต้นไม้จำนวนมากตายจนถูกตัดเหลือแต่ตอ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบการฟื้นตัวและอยู่รอดของต้นไม้ได้ เพราะต้นไม้เหล่านั้นได้ตายไปก่อนการตรวจสอบ ส่งผลถึงระยะเวลา 240 วันของข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าว ที่มีเพื่อตรวจการฟื้นตัวและการอยู่รอดของต้นไม้ จึงยังไม่เริ่มนับ เพราะไม่มีต้นไม้ที่อยู่รอดให้นับระยะเวลาเหล่านั้น อันส่งผลให้ถือว่าการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ” นายวัชระ กล่าว

นายวัชระ กล่าวว่า 2. มีการใช้ไม้ปูพื้น ไม้ตงและไม้ที่ใช้ในการตบแต่งของโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฯ ไม่ตรงตามข้อกำหนดในสัญญาฯ และไม่ตรงตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของผู้ออกแบบ เนื่องจากไม้เหล่านั้น ต้องใช้ไม้ “ชนิดตะเคียนทอง” แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการใช้ไม้ “ชนิดพะยอม” และไม้ชนิดอื่นมาปะปนในการปูพื้นทำตงและตกแต่ง รวมทั้งมีการจ่ายเงินอันมาจากงบประมาณแผ่นดินไปในราคาของ “ไม้ชนิดตะเคียนทอง” ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทางราชการ

นายวัชระ กล่าวว่า 3. ถือว่างานไม้ทั้งหมดของโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฯ ยังไม่แล้วเสร็จ คณะกรรมการตรวจการจ้างมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องตรวจสอบและทดสอบคุณภาพของงานทั้งหมดให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสัญญาฯ หากปราศจากข้อบกพร่อง จึงเห็นชอบงานแล้วเสร็จ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงคือใช้ไม้พะยอมแทนชนิดไม้ตะเคียนทอง” ซึ่งไม่ตรงตามข้อกำหนดในสัญญาฯ หรือไม่ และเมื่อยังไม่มีการตรวจสอบไม้ทั้งหมด จึงถือว่าคณะกรรมการตรวจการจ้าง ยังมิได้ตรวจสอบและทดสอบว่า งานไม้ทั้งหมดมีการใช้ “ไม้ชนิดตะเคียนทอง” ตามข้อกำหนดในสัญญาฯ จึงถือว่า คณะกรรมการตรวจการจ้าง ยังไม่สามารถตรวจรับงานแล้วเสร็จทั้งหมดของโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฯ ได้


“ถ้าคณะกรรมการตรวจการจ้างยอมรับว่างานไม้ทั้งหมดของโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฯ เป็นไม้ “ชนิดตะเคียนทอง” ถูกต้องตามข้อกำหนดในสัญญาฯ จึงถือว่าเป็นการตรวจสอบที่เป็นเท็จ เนื่องจากยังไม่ได้ตรวจสอบ “ชนิด” ของไม้ทั้งหมด ซึ่งถ้าคณะกรรมการตรวจการจ้างจงใจที่จะตรวจรับงานแล้วเสร็จทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งตามตัวอย่างข้างต้นว่างานยังไม่แล้วเสร็จ ย่อมมีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มีโทษไล่ออกและมีความผิดทางอาญา ตามแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย หากมิได้ยับยั้งการกระทำความผิดของผู้ใต้บังคับบัญชาก็อาจได้รับผลร้ายไปด้วย บัดนี้ ระยะเวลาการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ ล่วงเลยกำหนดเวลางานแล้วเสร็จตามสัญญาดังกล่าวข้างต้นมาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 64-4 ก.ค. 65 จำนวน 550 วัน งานก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 100%” นายวัชระ กล่าว

ด้านนายวิลาศ กล่าวว่า สำหรับจุดบกพร่องต่าง ๆ ของโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ได้ขอให้ประธานกรรมการตรวจการจ้างโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ฯ แจ้งกรรมการตรวจการจ้างฯ บริษัทที่ปรึกษา บริษัทผู้ควบคุมงาน และเชิญชมรม Strong สผ. องค์กรพอเพียงต้านทุจริต ในฐานะผู้สังเกตการณ์ร่วมกันเดินตรวจสอบสถานที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จทุกจุด เพื่อสร้างความโปร่งใสอันเป็นประโยชน์สาธารณะและลดข้อสงสัยของสาธารณชน ดังนี้ 1. พื้นไม้และพื้นไม้ตงอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ คือ ใช้ไม้ผิดประเภทจากข้อกำหนดต้องใช้ไม้ตะเคียนทองแต่ใช้ไม้พะยอมหรือไม้ชนิดอื่น ๆ แทน และแผ่นไม้ปูพื้นต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า 3 เมตร ยกเว้นกรณีจำเป็น

“2. ร่องไม้ตะเคียนทองที่ใช้ปูพื้นอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ คือ ต้องมีร่องห่างไม่เกิน 2 มิลลิเมตร 3. ประตูห้องกรรมาธิการไม่กันเสียง 65 ห้อง ผนังห้องประชุมกรรมาธิการไม่กันเสียง 148 ห้อง และหินทราโวทีนมีขนาดต่ำกว่าข้อกำหนด 4. ต้นไม้ขนาดใหญ่ตาย 347 ต้น และไม่มีการปลูกทดแทน รวมทั้งต้นไม้ขนาดเล็กตายเป็นจำนวนมาก 5. อุปกรณ์ห้องน้ำชายและหญิง ชำรุดใช้งานไม่ได้จำนวนหลายร้อยห้อง 6. ระบบเสียงภายในห้องประชุมสุริยัน มีปัญหาด้านกายภาพและการรับฟังที่ไม่ชัดเจน” นายวิลาศ กล่าว

นายวิลาศ กล่าวว่า 7. เมื่อมีฝนตกจะเกิดเหตุน้ำรั่ว น้ำหยด น้ำซึมและน้ำท่วมทุกครั้งทั่วอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ทรัพย์สินของทางราชการชำรุดเสียหาย เช่น เอกสาร พรมปูพื้น ลิฟต์โดยสาร ฝ้าเพดาน เป็นต้น ส่งผลกระทบต่อสำนักงานฯ มีต้นทุนเป็นค่าแรง O.T. แม่บ้านทำความสะอาดจากน้ำรั่วน้ำซึมน้ำท่วมขัง 8. จุดเสี่ยงจากข้อตรวจพบของสมาคมผู้ตรวจสอบอาคารและบริหารความปลอดภัยอาคารหรือ ตปอ. ผลการตรวจสอบไม่ผ่านมาตรฐานถึง 198 จุด อนึ่ง หากคณะกรรมการตรวจการจ้างฯ รับมอบงานแล้วเสร็จในวันนี้ วันพรุ่งนี้ตนจะยื่นเรื่องคณะกรรมการ ป.ป.ช. สอบสวนบุคคลที่ลงมติเห็นชอบทุกคนต่อไปโดยไม่ละเว้น

นายวัชระได้ส่งหนังสือถึงนายสาธิตและกรรมการตรวจการจ้างทุกคนในห้อง cb303 โดยนายสาธิตให้นายอุทัย อินทสมบัติ เลขานุการเป็นผู้รับหนังสือ พร้อมกันนี้ยังได้นำสื่อมวลชนเดินชี้จุดที่เป็นปัญหาต่าง ๆ ด้วย.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ.จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ 4 ทหารหาญ พร้อมปูนบำเหน็จ

กทม. 30 ก.ค.-กองทัพบกสดุดีทหารกล้า จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ 4 ทหารหาญ พร้อมปูนบำเหน็จ ขอพระราชทานยศทหารเลื่อนขั้นอย่างสมเกียรติ วันที่ 30 ก.ค. 68 กองทัพบกร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและส่วนราชราชการพื้นที่ จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพทหารกล้าที่สละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ จากเหตุการณ์พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยใน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้คณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบก ร่วมเป็นเกียรติในพิธีพระราชทานเพลิงศพของทหารหาญ จำนวน 4 นาย ดังนี้ 1.ส.อ.จิรายุ สิงห์อ้น ตำแหน่งพลลาดตระเวน กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 (ร้อย ลว.ไกล 6) กองพลทหารราบที่ 6 ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ (25 ก.ค.68) ณ วัดตลาดราชมงคล อ.จตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด โดยมี พล.อ. ณัฐวุฒิ นาคะนคร รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีพระราชเพลิงศพ โดยกองทัพบกได้ดำเนินการปูนบำเหน็จพิเศษ 7 ขั้น ขอพระราชทานยศทหารเป็นร้อยโท […]

ทบ.ยันไทยมีแผนพานานาชาติดูจุดเขมรถล่มเหมือนกัน

กทม. 30 ก.ค.-กองทัพบก ยันไทยมีแผนพานานาชาติดูจุดเขมรถล่มเหมือนกัน ประชาคมโลกต้องเห็นความเสียหาย ทั้งบ้านเรือน-โรงเรียน-โรงพยาบาล เร็วๆ นี้ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ เข้าดูพื้นที่บริเวณจุดปะทะ บริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานีว่า จุดที่ฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศลงไปดูพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร บริเวณจุดที่เคยมีการปะทะกันนั้น เป็นบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี จึงเห็นมีภาพปรากฏถึงความเสียหายที่เกิดจากการใช้อาวุธจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในบริบทของพื้นที่ทางยุทธการ และบริเวณนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายทางทหาร สำหรับฝ่ายไทยมีแผนจะจัดกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน โดยฝ่ายไทยจะไม่เน้นการสร้างภาพลวงแบบฉาบฉวย แต่จะเน้นสื่อสารเชิงคุณภาพ สิ่งที่จำเป็นจะต้องสื่อถึงประชาคมโลกคือ ความเสียหายต่อบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ฝ่ายทหารกัมพูชาจงใจพุ่งเป้าโจมตีไปยังเป้าหมายเหล่านั้น จนมีพลเรือน ประชาชน เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ลึกไกลเข้ามาภายในประเทศไทย และห่างจากพื้นที่สู้รบเข้ามาในไทยไกลมากถึง 10-30 กิโลเมตร พล.ต.วินธัย กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย รวมถึงขัดต่อหลักปฏิบัติทางทหารตามกฎหมายสากล และหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจตนาละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ ที่ห้ามการโจมตีพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรบ กองทัพบกไทยขอยืนยันอีกครั้งว่า เราปฏิบัติการเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารเป็นหลักเท่านั้น และยึดมั่นในกติกาสากล โดยขอย้ำว่า ฝ่ายไทยไม่ได้รุกรานใคร แต่เรามีสิทธิชอบธรรมในการปกป้องประชาชนและผืนแผ่นดินของเรา.-313.-สำนักข่าวไทย

เปิดภาพโรงพยาบาลไทยเสียหายหนัก หลังถูกกัมพูชาโจมตีด้วยอาวุธหนัก

ทำเนียบ 30 ก.ค.-โฆษกรัฐบาล เปิดภาพโรงพยาบาลไทยเสียหายหนัก หลังถูกกัมพูชาโจมตีด้วยอาวุธหนัก พร้อมประณามกัมพูชาละเมิดมนุษยธรรมร้ายแรง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ประณามการกระทำของรัฐบาลและกองทัพกัมพูชาอย่างรุนแรง กรณีการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายที่เป็นสถานพยาบาลของไทยในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานและเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน พร้อมกันนี้นายจิรายุ ยังเปิดภาพโรงพยาบาลบางส่วนที่ได้รับความเสียหาย ได้แก่ โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) คำโปรย, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โคก, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ซำเม็ง “ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกจับตามองและประณามการกระทำดังกล่าว ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด โดยปฏิบัติการเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียแก่พลเรือ” โฆษกรัฐบาล ระบุ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. พบว่า จากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชา ได้ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 15 ราย ในพื้นที่จ.อุบลราชธานี และศรีสะเกษ บาดเจ็บสาหัส 12 […]

เหตุพลุระเบิด เสียชีวิตเพิ่มเป็น 10 คน

สุพรรณบุรี 30 ก.ค. – เหตุพลุระเบิด จ.สุพรรณบุรี พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย ที่โรงพยาบาล รวมเสียชีวิต 10 ราย บาดเจ็บ 1 ราย สั่งการตั้งศูนย์ ศปก. ที่วัดโพธิ์ท่าทราย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย คืบหน้าเหตุพลุระเบิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ล่าสุด พล.ต.ต.วัชรินทร์ ประสพดี ผู้บังคับการภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มียอดผู้เสียชีวิต จำนวน 10 ราย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 9 ราย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 1 ราย ขณะนี้ได้สั่งการตั้งศูนย์ ศปก. ที่วัดโพธิ์ท่าทราย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงประสานชุด EOD เข้าเก็บกู้ดินปืน เนื่องจากตรวจสอบพบหลุมขนาดใหญ่สีดำจำนวน 2 หลุม และดินปืนจำนวนหนึ่ง อีกทั้งยังพบร่างผู้เสียชีวิต ชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งบริเวณที่เกิดเหตุ ส่วนข้อมูลการตรวจสอบ พบว่าบ้านหลังนี้มีการลักลอบผลิตพลุไล่นก.-สำนักข่าวไทย