ทำเนียบฯ 2 ก.ค.- นายกรัฐมนตรีมอบหมายหน่วยงานเกี่ยวข้องร่วมอำนวยความสะดวกชาวไทยมุสลิมเดินทางไป-กลับในการร่วมพิธีฮัจย์ ณ นครเมกกะห์ ซาอุดีอาระเบีย
วันที่ 2 ก.ค. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. เป็นต้นมา เป็นช่วงเวลาที่พี่น้องชาวไทยมุสลิมทั้งจากส่วนกลางและจังหวัดชายแดนใต้ ทยอยเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ 2565 (ประจำปี ฮ.ศ. 1443) ที่นครเมกกะห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม ร่วมกันอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องไทยมุสลิมในการเดินทางไปร่วมพิธีทั้งไปและกลับโดยต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากความห่วงใยถึงพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปร่วมพิธีสำคัญในครั้งนี้ทุกคน ให้ระมัดระวังป้องกันตนเองในระหว่างการเข้าร่วมพิธี ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด19 ที่ประเทศผู้จัดงานกำหนด
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย รายงานว่าในแต่ละปีชาวมุสลิมทั่วโลกจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประมาณ 3 – 4 ล้านคน โดยแต่ละประเทศจะได้รับการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนของประชากรมุสลิม สำหรับพิธีฮัจย์ปี 2565 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 7-12 ก.ค. นี้ ประเทศซาอุดีอาระเบียได้จัดสรรโควตาสำหรับชาวมุสลิมจากประเทศไทย 5,885 คน และกำหนดเงื่อนไขผู้เข้าร่วมพิธีต้องปฏิบัติ ได้แก่ 1.ต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน 2.แสดงผลการตรวจโควิด-19 แบบ PCR ที่เป็นลบไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทาง 3.สวมหน้ากากอนามัยระหว่างการประกอบพิธีฮัจย์ตลอดเวลา 4.ต้องจัดทำประกันโรคโควิด-19 และ 5. มีอายุต่ำกว่า 65 ปี
สำหรับการเดินทางไป-กลับ เพื่อร่วมพิธีฮัจย์จากประเทศไทย จะเดินทางผ่านท่าอากาศยาน 3 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนราธิวาส ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ .-สำนักข่าวไทย