รัฐสภา 1 ก.ค.- รัฐสภาเร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ครึ่งวันเช้าผ่าน 35 มาตรา “สุพิศาล” อภิปรายปมมูลนิธิบริจาคเงินให้ สตช. ต้องกำหนดให้ดี ชี้ มูลนิธิป่ารอยต่อทำงานผิดวัตถุประสงค์ ส่อมีผลประโยชน์ขัดกันตามข้อห้ามของ รธน.
การประชุมร่วมรัฐสภา วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ (พ.ศ. …) ซึ่งกรรมาธิการฯ พิจารณาแล้วเสร็จในวาระสอง ต่อเนื่องเป็นครั้งที่หก โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ในช่วงครึ่งวันเช้า ซึ่งเริ่มพิจารณาตั้งแต่ มาตรา 120 พบว่าสามารถผ่านการพิจารณาไปจนถึงมาตรา 155 หรือ 35 มาตรา ก่อนที่จะพักการประชุมในรอบเช้าเมื่อเวลา 12.20 น.
สำหรับการพิจารณาในภาพรวม พบว่าผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเนื้อหาไม่มีการแก้ไข และไม่มีกรรมาธิการติดใจสงวนความเห็น และแม้บางมาตรามีการแก้ไข แต่สมาชิกรัฐสภาติดใจขออภิปรายไม่มาก
ทั้งนี้ในการอภิปรายบางมาตรา มีความน่าสนใจ อาทิ มาตรา 143 ว่าด้วยเครื่องแบบตำรวจ พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย สงวนความเห็นให้เพิ่มเติมวรรคสอง ให้ข้าราชการตำรวจทุกเพศมีสิทธิและเสรีภาพในการไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ พร้อมอภิปรายในรายละเอียดว่าระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของข้าราชการตำรวจนั้น เป็นการบังคับ ฝืนใจ และสร้างความอึดอัดให้กับข้าราชการ ทั้งนี้ การเสนอให้เพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าวถือเป็นการปฏิรูปตำรวจที่แท้จริง ตนทราบว่าการลงมติอาจจะไม่ชนะ แต่อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้ง และหากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เป็นนายกฯ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งจะเซ็นยกเลิกคำสั่งที่ละเมิดสิทธิ และเสรีภาพ เช่น เรื่องการไว้ทรงผมของข้าราชการทันที
ทำให้ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ส.ว. ฐานะกรรมาธิการลุกขึ้นชี้แจงว่าเดิมว่าจะไม่ตอบ เพราะไม่ใช่คำถาม แต่คิดไปคิดมาจะทำให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เสียหายว่า ไปบังคับ จับไปทรมาณ หากพบตำรวจไว้ผมยาว ผมขอตอบสั้น ๆ ว่าหากคุณไปบวชไม่โกนหัวได้ไหม
ขณะที่ผลการลงมติในมาตราดังกล่าว พบว่าเสียงข้างมากเห็นตามกรรมาธิการเสียงข้างมาก ไม่มีการแก้ไข
ส่วนมาตรา มาตรา 149 ว่าด้วยที่มาของกองทุนเพื่อการสืบสวน สอบสวน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญานั้น กมธ.ไม่มีการแก้ไข แต่ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายขอแก้ไข ที่มาของกองทุนในส่วนของเงินจากมูลนิธิว่า มูลนิธิป่ารอยต่อ ที่พบว่าเป็นมูลนิธิที่ทำการเมือง ผิดวัตถุประสงค์ ใครเป็นประธานมูลนิธิตนไม่ต้องบอก แต่การทำมูลนิธิที่มีเงื่อนไขซ่อนเร้น ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ หมวด 9 มาตรา 186 ที่กำหนดห้ามรัฐมนตรีใช้สถานะหรือการกระทำใด ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อประโยชน์ของตน พรรคการเมือง
“ใครเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองผมไม่ต้องบอก แต่การกระทำจะเป็นไปโดยมิชอบหรือไม่ ที่ผ่านมามูลนิธิมีการระดมทุน มีบริษัทใหญ่บริจาคเงิน จัดโต๊ะจีนได้เงิน 40-100 ล้านบาท หากมูลนิธิให้เงิน สตช. อาจมีผลต่อการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ถือว่าก้ายก่าย สตช.ชัดเจน คำตอบและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถูกต้องหรือไม่ ที่ต้องตอบแทนบุญคุณ ให้เงินต้องตอบแทนบุญคุณ ทั้งตำแหน่ง ผบ.และรอง ผบ. ดังนั้น ในการเขีนกฎหมาย ต้องกำหนดว่ามูลนิธิที่บริจาคเงินต้องคำนึงถึงการขัดกับแห่งผลประโยชน์ หากเขียนไว้สั้น ๆ อาจทำให้มูลนิธิสีเทา ดำรงอำนาจ เพื่อให้เกิดบารมี ใช้อำนาจ ครอบงำ สตช. และผู้นั้นขัดกับผลประโยชน์ได้” พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าว
แต่สุดท้ายการลงมติของกรรมาธิการ ได้ยืนยันตามการพิจารณาของกรรมาธิการเสียงข้างมาก.- สำนักข่าวไทย