เมืองทองธานี 30 มิ.ย.- นายกฯ เปิดงาน “ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ครั้งที่ 34” ขอคนไทยช่วยลดอุบัติเหตุ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย มุ่งสร้างค่านิยมที่ดี
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ครั้งที่ 34 (Thailand Safe@Work 2022) พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณกิจกรรมการรณรงค์สถิติลดอุบัติเหตุจากการทำงานให้เป็นศูนย์ ประจำปี 2565 ระดับแพลทินัมให้กับสถานประกอบการกิจการจำนวน 38 แห่ง และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณโครงการพัฒนาสถานประกอบกิจการตามมาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานประจำปีงบประมาณ 2564 ระดับแพลทินัม ให้กับสถานประกอบกิจการจำนวน 27 แห่ง นอกจากนี้ ยังมอบรางวัลการประกวดโครงงานพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยประจำปี 2565 จำนวน 5 รางวัล ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับสถานประกอบกิจการที่ได้รับรางวัล เชื่อว่า ความสำเร็จเกิดจากความร่วมมือร่วมใจและความเข้าใจตรงกันของทุกคนในองค์กร เราต้องการความสำเร็จบนความปลอดภัย ไร้ความเสี่ยง ช่วยเป็นหูเป็นตาเพื่อสวัสดิการของทุกคน ยอมรับว่าสถิติอุบัติเหตุในการทำงานยังมีสูง แต่จำนวนการเสียชีวิตลดน้อยลง แต่ก็ต้องลดอุบัติเหตุให้เป็นศูนย์ ขณะเดียวกัน ยังเน้นย้ำเรื่องการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับเครื่องจักรและการจัดหาแรงงานให้พอเพียง ซึ่งเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต ทั้งสังคมสูงวัย แรงงานขาดแคลน สิ่งสำคัญคือ ต้องมีสติ ไม่ประมาท ไม่ละเมิดกฎนิรภัย ดูแลเพื่อนร่วมงาน ปฏิบัติตามแนวคู่มือปฏิบัติ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ขับเคลื่อนประเทศตาม Roadmap ที่วางไว้ โดยรัฐบาลเร่งแก้ไขและคลี่คลายปัญหาด้านแรงงานได้หลายเรื่อง เช่น การป้องกันแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการหลบหนีเข้าเมืองของแรงงานเพื่อนบ้าน สำหรับนโยบายด้านการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน โดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน นำแรงงานที่ขาดแคลนเข้ามาโดยถูกกฎหมาย แต่ต้องดูแลและให้สิทธิแรงงานเหล่านั้นอย่างครบถ้วน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและคมนาคม การอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และส่งเสริมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศ แต่การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าวจะสำเร็จได้ต้องอาศัยฟันเฟืองสำคัญที่สุดคือ แรงงาน
“ขอให้ทุกคนช่วยกันยกระดับแรงงานให้มีความพร้อมขับเคลื่อนประเทศ ด้วยการสร้างระบบการเรียนรู้ มุ่งเน้นสร้างวัฒนธรรมการป้องกันอุบัติเหตุให้เกิดขึ้นมาทุกกิจกรรม ซึ่งทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุในสถานประกอบกิจการ นอกจากความสูญเสียที่ประมาณค่ากันเป็นตัวเงิน หรือยอดตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตแล้ว ยังมีความสูญเสียอยู่เบื้องหลังที่ไม่สามารถประเมินค่าเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สินได้ ขณะที่ชีวิตของคนในครอบครัวที่ต้องเสียขวัญกำลังใจ จนเป็นปัญหาของสังคมตามมา จึงต้องช่วยกันป้องกันปัญหาเหล่านี้” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนดีใจที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุ จะขับเคลื่อนค่านิยม 3 ประการ M-D-C ในการสร้างวัฒนธรรมไทยเชิงป้องกัน คือ การมีสติรู้ตัว วินัยถูกต้อง เอื้ออาทรใส่ใจ เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการในเวลานี้ และต้องสร้างค่านิยมที่ดีในคนไทย ทั้งรักชาติ รักคนอื่นและรักธรรมชาติ เพราะเราสร้างค่านิยมกันมายาวนาน นั่นคือความแตกต่างของประเทศไทย นั่นคือโอกาส รวมถึงซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ซึ่งตนตระหนักว่า การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยจะเกิดขึ้นในสังคมไทยได้ โดยต้องเริ่มที่ตัวเองก่อนเสมอและพร้อมกลับความร่วมมือของจากภาครัฐและภาคเอกชนทุกแห่งในการทำงานที่เน้นสวัสดิภาพและความปลอดภัย
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขอบคุณกระทรวงแรงงานที่ทำให้อุตสาหกรรมขับเคลื่อนมาได้ แม้จะอยู่ในช่วงโควิดและทำให้สถานประกอบการไม่ต้องปิดตัวลง แรงงานไม่ต้องตกงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลทำในเรื่องของการเตรียมการและการแก้ปัญหา ทั้งนี้ หากเรามีแผนรองรับความเสียหายและแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงทีรวมถึงมีการซักซ้อม ตลอดจนทุกคนรู้บทบาทหน้าที่ของตัวเอง จะได้มีแผนเผชิญเหตุไว้ล่วงหน้า
“อยากให้ผู้ใช้แรงงานมากกว่า 37 ล้านคน มีความสุขในการทำงาน เพราะเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในประเทศ และเป็นคนที่มีค่าที่สุดในครอบครัวในฐานะผู้นำครอบครัวและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ยืนยันว่า องค์ประกอบที่ทำให้ประเทศไทยมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน คือความมั่นคงปลอดภัยและความผาสุกของผู้ประกอบการและลูกจ้าง” พลเอกประยุทธ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย