รัฐสภา 1 มิ.ย.-“ทนายษิทรา” บุกสภาฯ ร้อง “ชวน” สอบจริยธรรม “มงคลกิตติ์” ปมไลฟ์สดข่มขู่ ใช้ถ้อยคำกำจัดด้วยการเมือง สะท้อนวิธีคิดนอกกฎหมาย เสื่อมเสียเกียรติ ขรก.การเมือง
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ พร้อมด้วย นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ และนายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เข้ายื่นหนังสือพร้อมหลักฐานคลิปเสียงและบทสนทนา การไลฟ์สดของนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ที่มีลักษณะข่มขู่นายเดชา กิตติวิทยานันท์ อดีตทนายความของนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน มารดา น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม และพวกตนทั้ง 3 คน ให้กับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฏร ผ่าน นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ เพื่อขอให้ตรวจสอบหรือตั้งคณะกรรมการสอบจริยธรรม และดำเนินคดีตามกฎหมายกับนายมงคลกิตติ์
หนังสือดังกล่าว ระบุว่า สืบเนื่องจากคดีเสียชีวิตปริศนาของ น.ส.ภัทรธิดา ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุพลัดตกเรือ ซึ่งตนในฐานะผู้ประกอบอาชีพทนายความ ได้แสดงความคิดเห็นจนเป็นเหตุให้นายมงคลกิตติ์ เกิดความไม่พอใจและให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในลักษณะข่มขู่ตน และยังไลฟ์สดพูดจาข่มขู่ตนและบุคคลอื่นผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งการกระทำอยู่ในระหว่างที่ยังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อ้างว่าเป็น ส.ส. มีอำนาจกระทำได้ แต่มองว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่พูดจาข่มขู่ประชาชน และมีถ้อยคำที่ทำให้เข้าใจได้ว่าจะทำร้าย ใช้ความรุนแรงกับตน ซึ่งเป็นการกระทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง ผิดประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง 2564
นายษิทรา ให้สัมภาษณ์ว่า การพูดของนายมงคลกิตติ์ ทำให้ภาพลักษณ์ของสภาฯ ดูไม่ดี จึงต้องขอให้ประธานสภาฯ ตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวผิดจริยธรรมหรือไม่ และถ้าทำผิดจริง ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
“ผมไม่ได้กลัวที่นายมงคลกิตติ์ จะเดินทางไปดำเนินคดีในหลายพื้นที่ เช่นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะถ้าไม่ได้ทำผิด แต่เมื่อถูกแจ้งความ ก็จะต้องดำเนินคดีกลับ ขออย่าใช้ชื่อพรรคการเมือง หรืออ้างว่าสมาชิกพรรคไม่พอใจ เพราะถ้าเป็นลูกผู้ชาย ก็จะไม่อ้างหรือโยนคนอื่น” นายษิทรา กล่าว
ส่วนกรณีนายมงคลกิตติ์ พูดว่าจะกำจัดด้วยวิธีทางการเมือง นายษิทรา กล่าวว่า กำจัดนั้นคือทำให้สูญสิ้นไป แต่พอไปเติมคำว่าการเมือง จึงทำให้เกิดคำถามว่า การเมืองใช้วิธีสกปรกหรืออย่างไร จึงต้องกำจัดกัน และอย่าบอกว่าเป็นวิธีที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตนเก็บหลักฐานไว้ทั้งหมดแล้ว พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการทำหน้าที่ของ ส.ส.หรือไม่ เรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับพรรค น่าจะเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากกว่า.-สำนักข่าวไทย