กทม. 7 พ.ค.- “วิโรจน์” ลุยหาเสียงตลาดย่านบางมด-วังหลังศิริราช ชี้ รัฐบาลต้องเปิดเมืองจริง ไม่ใช่แค่เพื่อนักท่องเที่ยว แต่ต้องวางยุทธศาสตร์เพื่อฟื้นเศรษฐกิจและปากท้องประชาชน
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กทม.เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เดินตลาดเช้าบริเวณหมู่บ้านสินทวี บางมด ถนนพระราม 2 ซอย 43 ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ตั้งอยู่สองฝั่งถนนในหมู่บ้าน เพื่อทักทายพี่น้องประชาชน ขอคะแนนเสียงในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยนายวิโรจน์ ยืนยันว่า มั่นใจเต็มร้อยในศึกเลือกตั้ง แม้เหลือเวลาอีกสิบกว่าวันก็ตาม ย้ำว่า ต้องการเปลี่ยนแปลง กทม. และเร่งเปิดเมืองเพื่อกระตุ้นเศรษกิจ ความเป็นอยู่และปากท้องของคนกรุงเทพ วันนี้มีพ่อค้าแม่ขายจำนวนมากเข้ามาแสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่วนตัวได้ให้คำสัญญากับประชาชนว่า พร้อมเปิดเมืองเพื่อให้คนกรุงเทพได้ใช้ชีวิตปกติ ซึ่งอันดับแรกจะต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในการจัดการโรคระบาดก่อน จึงจะกล้าออกมาใช้ชีวิต กล้าจับจ่ายใช้สอย เมื่อถึงวันนั้นเศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวกลับมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการเดินตลาดในหมู่บ้านสินทวี มีลูกบ้านและประชาชนจำนวนไม่น้อย ร้องเรียนถึงปัญหาน้ำท่วมขัง วิโรจน์ ได้ตอบรับปัญหาพร้อมเสนอนโยบายสำคัญเพื่อแก้ไขคือ ลอกท่อทั่วเมือง ลอกคลองทั่วกรุง ที่เน้นนำงบประมาณมาขุดลอกท่อที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดฝอยทั่วกรุงเทพ เพื่อให้ท่อมีพร้อมและคืนประสิทธิภาพในการระบายน้ำ และไม่ต้องกังวลว่า กทม.จะเข้าไปจัดการไม่ครบทุกพื้นที่ เพราะตนตั้งใจให้ กทม.เป็นผู้ประสานงานพื้นที่หมู่บ้านของเอกชนด้วย เพื่อจะได้ขุดลอกคลองให้พร้อมสำหรับคูคลองที่เชื่อมต่อกัน การระบายน้ำจะไม่ติดขัดและท่วมขังอีกต่อไป
จากนั้น นายวิโรจน์ ได้เดินทางมาที่ตลาดชุมชนวังหลัง ใกล้โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกน้อย โดยยังย้ำว่า เป็นห่วงการค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าที่ปัจจุบันมีลูกค้าน้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากค่าครองชีพของประชาชน จึงยืนยันว่า จะต้องผลักดันเรื่องสวัสดิการต่างๆ ของผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ปกครองที่มีบุตร ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้เงินหมุนเวียนในกลุ่มพ่อค้าแม่ขายอีกด้วย นอกจากนี้ ยังต้องวางระบบสาธารณสุขให้มีความโปร่งใสอย่างชัดเจน หากมีความมั่นใจว่า ระบบโปร่งใสจริง ก็ต้องเปิดเมือง ซึ่งส่วนตัวแปลกใจว่า ประเทศไทยเปิดเมืองแล้ว แต่เปิดให้กับแค่นักท่องเที่ยวเข้ามา ขณะที่การค้าขายในประเทศกลับยังมีข้อจำกัด ไม่คิดถึงคนที่ทำมาหากินในประเทศ ในกทม. ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก เพราะไม่ได้เปิดเมืองสำหรับทุกคน เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาก็ต้องแปลกใจ ว่าเข้าประเทศมาแล้วยังต้องสวมแมสก์
“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความโปร่งใส คุณวางระบบการส่งตัวเรียบร้อยหรือยัง คุณเปิดสิ คุณบอกความพร้อมให้กับประชาชนรู้สิ วัคซีนคุณรณรงค์สิ แล้วเราจะเปิดเมืองด้วยกัน จะลดข้อจำกัดลง การค้าขายกลางคืนจะลดข้อจำกัดลง คุณทำให้ทุกคนมั่นใจสิว่าเมื่อติดโควิดแล้วจะเข้าถึงยาได้อย่างรวดเร็ว หากประชาชนเชื่อมั่นว่า ติดโควิดแล้วไม่ต้องกลัวตาย ก็จะเปิดเมืองได้ เพราะในต่างประเทศก็เปิดหน้ากากกันแล้ว และเศรษฐกิจก็ดีขึ้น ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องมียุทธศาสตร์ในการเปิดเมือง แต่รัฐบาลไม่เคยมียุทธศาสตร์ในการจัดการโควิดเลย ทั้งเดลตาและโอไมครอน ใช้ยุทธศาสตร์เดียวกัน ทั้งที่หลักเกณฑ์มันเปลี่ยน เพราะเมื่อเจอกับโอไมครอนนี้ ยุทธศาสตร์ในการรับมือ ไม่ใช่แค่รักษาชีวิตอย่างเดียว แต่ต้องทำให้อยู่กับโรค ให้ใช้ชีวิตใกล้เคียงกับตอนใช้ชีวิตปกติได้ แต่รัฐบาลกลับไม่ยอมเปลี่ยน ยังอยู่ในมิติเดียว ไม่ยอมเปลี่ยนกรอบยุทธศาสตร์ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้ว่าฯ กทม.ที่จะต้องไปช่วยรัฐบาลในการวางยุทธศาสตร์เพื่อคืนเศรษฐกิจและปากท้องให้กับประชาชน” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ ยังมองว่า นอกจากจะวางระบบสาธารณสุขให้ดีแล้ว กทม.จะต้องหารือกับ สปสช.เพื่อเพิ่มคลินิกชุมชนอบอุ่น ให้คน กทม.สามารถใช้บัตรทองโดยไม่ต้องเสียค่ายาค่าหมอ ซึ่งจะทำให้คน กทม.เข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย เพราะขณะนี้ ยังมีคลินิคที่เข้าร่วมคลินิกชุมชนอบอุ่นน้อย .-สำนักข่าวไทย