บางนา 21 เม.ย.- “ศิธา” แถลงนโยบายด้านกีฬา ประกาศสร้างกรุงเทพฯ เป็น Regional Hub ร่วมมือภาคเอกชน จัดมหกรรมกีฬานานาชาติ มั่นใจสร้างรายได้มหาศาล พร้อมอัดฉีดงบประมาณ หนุนตั้งกองทุนพัฒนากีฬา เพิ่มพื้นที่สาธารณะเพื่อการออกกําลังกายและสันทนาการ เสนอแนวคิดปรับลานกีฬากว่า 1,200 แห่ง เป็น Multi Purpose ขยายเวลาการใช้พื้นที่ ให้คนกรุงมีเวลาออกกำลังกายหลังเลิกงานมากขึ้น
น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่ากทม. หมายเลข 11 พรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วย นายดลสุข รุ่งเรือง ผู้สมัคร ส.ก.หมายเลข 5 พรรคไทยสร้างไทย พร้อม พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ และนายปณิธาน ประจวบเหมาะ ทีมไทยสร้างไทยเขตบางนา ร่วมกันแถลงข่าวเปิดนโยบายสนับสนุนการกีฬาของกรุงเทพมหานคร
น.ต.ศิธา ระบุว่า กีฬาเป็นกิจกรรมสําคัญ สําหรับการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่เป็นศูนย์รวมของการพัฒนาด้านต่างๆ ซึ่งกีฬาไม่เพียงแต่จะเป็นกิจกรรมสําคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีแก่ประชาชนแล้ว แต่กีฬายังเป็นกิจกรรมที่สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศชาติได้อย่างมหาศาล ดังนั้นโยบายของทีมผู้ว่าไทยสร้างไทย จึงสนับสนุนการพัฒนาด้านกีฬา ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพื้นที่สาธารณะของกรุงเทพ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วถึง เท่าเทียมสามารถมาทํากิจกรรมด้านการกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันจะสนับสนุนงบประมาณ พร้อมจัดตั้งกองทุนพัฒนากีฬา หรือขอความร่วมมือจากภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนการพัฒนากีฬาในมิติต่างๆ เช่น การขอความร่วมมือจากภาคเอกชน เพื่อยกระดับให้กรุงเทพมหานครเป็น Regional Hub ในการจัดมหกรรมกีฬานานาชาติ เช่น Events การแข่งขันกีฬาระดับโลก โดยนํา Rugby 7s world series หรือ Formula One Grand prix มาจัดเป็น Event ประจำปีที่กรุงเทพมหานคร โดยอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชน สมาคมกีฬาต่างๆ เช่นในประเทศ SINGAPORE มีการจัดแข่งขัน F1 สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้ มีคนเข้ามาดูงานจากต่างประเทศ กว่า 600,000 คน สร้างรายได้กว่า 40,000 ล้านบาท ทั้งยังส่งผลดีต่อ การฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกะทบอย่างรุนแรงจาก การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้กลับมาแข็งแกร่งได้รวดเร็วยิ่งขึ้น หรือสนับสนุนกีฬา e-sport เดินหน้าจัดการแข่งขันในเอเชีย รับเทรนด์การเติบโต e-sport ที่เติบโตขึ้น 15.7% จากปีก่อนหน้า จํานวนผู้รับชมอีสปอร์ตทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 495 ล้านคนในปี2563 จาก 443 ล้านคนในปี2562 เพิ่มขึ้น 11.7% และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นมากถึง 646 ล้านคน ในปี 2566 รวมถึงกรุงเทพจะสนับสนุน Extreme Sport พัฒนาและส่งเสริมกีฬา Extreme ให้เป็นหนึ่งในกีฬาของกลุ่มวัยรุ่น และบุคคลทั่วไปที่ชื่นชอบความท้าทายในกีฬาเชิงผาดโผน เช่น การพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนให้เป็นลานกีฬา Extreme เป็นต้น
น.ต.ศิธา กล่าวอีกว่า ที่สำคัญ กรุงเทพมหานคร จะเพิ่มพื้นที่สาธารณะของประชาชน เพื่อการออกกําลังและทํากิจกรรมต่างๆ โดยสํานักงานเขตทั้ง 50 เขต สํารวจสภาพลานกีฬาในพื้นที่ ซึ่งเบื้องต้น มีจํานวนรวม กว่า 1,200 ลาน โดยกทม.ต้องพัฒนาพื้นที่สีเขียวให้เป็น Multi Purpose และทําให้คนต่างกลุ่มต่างๆมาเจอกัน ทํากิจกรรมด้วยกัน ซึ่งสถานที่ของกรุงเทพฯส่วนใหญ่เป็น Purpose เดียว และยังปิดในเวลาประมาณ 16.00น.หรือ 18.00น. ดังนั้นเราต้องพัฒนาพื้นที่ให้เป็น Multi Purpose ซึ่งสามารถทํา Urban Farming, Sport Development, Work from the PARK, Bike Lane, ลาน extreme sports เป็นต้น เพื่อให้คนหลากหลายสามารถใช้พื้นที่เดียวกันได้ และในบางแห่งอาจพิจารณาเปิดถึงช่วงเที่ยงคืนตามความต้องการของพี่น้องประชาชน เพื่อให้คนกรุงเทพเลิกงานแล้วสามารถที่จะเดินทางไปใช้พื้นที่สีเขียวและสถานที่ออกกําลังกายได้นานขึ้น และกรุงเทพมหานคร ต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาพรสวรรค์ สร้างโอกาสและอนาคตให้กับเยาวชน ตามที่กทม.มีโรงเรียนกีฬามากกว่า 3 แห่งนั้นจะต้องเน้นการพัฒนาความสามารถด้านการกีฬาให้แก่เยาวชน เพื่อให้พัฒนาไปสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพ สร้างรายได้และชื่อเสียงให้ประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากแถลงนโยบาย น.ต.ศิธา ได้ทดลองยิงจุดโทษ เพื่อโชว์ความฟิต แต่ปรากฏว่าเมื่อเตะฟุตบอลแล้วรองเท้าที่ใส่หลุดออกมา ทำให้ต้องรีบวิ่งไปเก็บรองเท้ามาใส่ทันทีโดยไม่ได้หันไปมองว่าฟุตบอลเข้าประตูหรือไม่ จากนั้นอย่างได้ทดลองเป็นผู้รักษาประตู ให้เด็กๆที่มาเรียนฟุตบอลได้ยิงจุดโทษ มีทั้งรับได้และพลาดถูกยิงเข้าประตู .-สำนักข่าวไทย