มท. เร่งขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน

กรุงเทพฯ 20 มี.ค. – กระทรวงมหาดไทย เร่งขับเคลื่อนงานเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน เดินหน้าขยายผลในทุกจังหวัดและทุกองค์กรปกครองท้องถิ่นทั่วประเทศ พร้อมเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมกัน Change for Good ในทุกกิจกรรมของชีวิตเพื่อให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน


วันนี้ (20 มี.ค. 65) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการแก้ไขปัญหาก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาวะโลกร้อน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ข้อ 13 การปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น (Take Urgent Action to Combat Climate Change and Its Impacts) ซึ่งผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN) และผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNDP) ได้ให้ความสนใจและชื่นชมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้วยความมุ่งมั่นของกระทรวงมหาดไทยในการ Change for Good ให้เกิดการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการรณรงค์ส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนและทุกภาคส่วนในพื้นที่ได้ดำเนินวิถีชีวิตประจำวันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การคัดแยกขยะ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน การทำเกษตรอินทรีย์ การปลูกต้นไม้ การรับประทานอาหาร การแต่งกาย การใช้ยวดยานพาหนะ ที่ “ทุกคนต้องช่วยกัน” เพื่อร่วมกัน Change for Good ให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นในชีวิตของพวกเราทุกคน

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการขับเคลื่อนกิจกรรมในการส่งเสริมการแก้ไขปัญหาก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาวะโลกร้อนมาอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมกิจกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนในชีวิตประจำวัน โดยให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศรณรงค์เชิญชวนให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไปที่ตระหนักถึงภัยคุกคามของปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน อากาศวิปริตแปรปรวน ให้เข้ามาร่วมสมัครเป็นอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.) ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก พ.ศ. 2561 เพื่อร่วมมือกันดูแลครอบครัวให้รู้จักคัดแยกขยะเปียก ขยะแห้ง ขยะพิษ รวมทั้งเป็นผู้นำในการสร้างจิตสำนึกให้แก่คนในครอบครัว ชุมชน ตำบล และหมู่บ้าน ให้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย โดยใช้หลัก 3Rs หรือ 3ช : ใช้น้อย Reduce ใช้ซ้ำ Reuse และนำมาผลิตเพื่อใช้ใหม่ Recycle โดยเริ่มจากการปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในวัยเด็ก ให้รวมกลุ่มเป็นเครือข่ายเพื่อช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและถ่ายทอดความรู้ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับบุคคลหรือประชาชน พร้อมทั้งรณรงค์ให้ทุกครัวเรือน จัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งเป็นถังขยะเปียกคัดแยกขยะครัวเรือน ณ ต้นทาง ตั้งแต่แหล่งกำเนิด ให้ครบ 100% ในเดือนสิงหาคม 2565 โดยหากครัวเรือนใดมีพื้นที่ที่ไม่สามารถทำได้ ให้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จัดถังขยะรวมไว้ในพื้นที่อย่างน้อย 3 ชนิด คือ ถังขยะเปียก เพื่อรวมเศษอาหาร ขยะอินทรีย์ ถังขยะทั่วไป และถังขยะอันตราย ซึ่งที่ผ่านมา โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อนได้มีการจัดทำแล้วถึง 10.5 ล้านครัวเรือนจาก 17.8 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็น 60% ทั่วประเทศ ซึ่งสามารถช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการของการเกิดภาวะโลกร้อนได้กว่า 300,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 600 ล้านตัน ซึ่งมีตัวอย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สามารถขับเคลื่อนจนเกิดผลสำเร็จ เกิดความร่วมมือของพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น เช่น การบริหารขยะอินทรีย์สู่แปลงผักสวนครัวตามโครงการพระราชทานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง “ ที่องค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี และการบริหารจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง คือ ครัวเรือน โดยการคัดแยกขยะอินทรีย์หรือขยะเปียกออกจากขยะทั่วไปของชุมชนบ้านป่าบุก เทศบาลตำบลแม่แรง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน


นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวต่อว่า ยังได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดช่วยกันขยายผลและไปกระตุ้นปลุกเร้าให้ช่างทอผ้า ผู้ประกอบการผ้าไทย ผ้าอัตลักษณ์ทุกประเภททั่วประเทศ น้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา งดใช้สีเคมีในการย้อมผ้า และหันมาผลิตวัตถุดิบที่จะใช้ผลิตผ้า เช่น ปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน และเลี้ยงไหม ปลูกต้นไม้ที่สามารถนำไปใช้ทำเป็นสีย้อมผ้าให้มากขึ้น เพื่อลดการเกิดของเสีย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ใบไม้หรือเปลือกไม้ที่นำมาย้อมสีผ้าก็สามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้ และยังส่งผลดีต่อสุขภาพของคนย้อมผ้าและผู้สวมใส่ รวมถึงให้ทุกจังหวัดได้รณรงค์ส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนร่วมกันสวมใส่ผ้าไทย ภายใต้ชื่อ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ตามแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งมีนัยยะสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ผู้ทอผ้าในทุกถิ่นที่ของประเทศไทย ที่เป็นเสาหลักในการดูแลสมาชิกทุกคนในครอบครัวให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีด้วยรายได้จากการจำหน่ายผ้าไทย รวมถึงสิ่งที่นอกเหนือจากการมีรายได้ นั่นคือ ทำให้ลูกหลานกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ด้วยการช่วยกันรักษาภูมิปัญญา อัตลักษณ์ความเป็นไทย และยังเป็นการร่วมกันแก้ไขปัญหาโลกร้อน เพราะผ้าทอไทยเกิดจากภูมิปัญญาของคนไทยที่อยู่กับทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ถิ่นต่าง ๆ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การย้อมผ้า ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” ของกระทรวงมหาดไทย เปรียบเสมือนการปฏิวัติสีเขียวครั้งใหญ่ที่ประชาชนจะอยู่รอดปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศแล้ว ยังช่วยตอบโจทย์การแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และสภาวะโลกร้อน (Global warming) ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (climate change) ที่กระทบทุกประเทศทั่วทั้งโลกอย่างรุนแรง ซึ่งภายในแปลงโคก หนอง นา จะมีการปลูกต้นไม้ 5 ระดับก็คือ ป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง เป็นการผสมผสาน ที่เล็งเห็นถึงปัจจัย 4 ทั้งหมด เช่น มีไม้เพื่อใช้ทำที่อยู่อาศัย ไว้ใช้สอย ไว้ทำเครื่องมืออุปกรณ์ทางการเกษตร และการปลูกที่มีไว้ใช้สำหรับเป็นอาหารและยารักษาโรค รวมถึงมีส่วนที่ไว้ค้าขายผลิตผลทางเกษตร และอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญ คือ ทุกพื้นที่จะเป็นกสิกรรมธรรมชาติ ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง และไม่มีการเผาทำลายซากเศษใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เราจะเอาส่วนนั้นมาประยุกต์ใช้ในการทำน้ำหมัก ปุ๋ยหมัก ใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดบริหารจัดการไม่ให้เหลือเป็นเศษขยะ เป็นการลดภาวะฝุ่นควันปัญหา PM2.5 ได้ตั้งแต่ต้นเหตุ โดยต้นไม้ 5 ระดับนี้ จะทำให้มีไม้ยืนต้นมากกว่า 10 ล้านต้น ที่จะช่วยทำให้สภาพดินฟ้าอากาศทุกพื้นที่มีความร่มเย็น มีร่มเงาจากไม้ใหญ่ในพื้นที่ของตนเองได้ แล้วจะมีการปลูกทดแทนต่อเนื่อง เพื่อความยั่งยืนอันจะส่งผลถึงระบบนิเวศ นี่จึงเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทำให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล ช่วยต่ออายุโลกของเรา สร้างโลกที่น่าอยู่ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญเรื่องปากท้อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการพัฒนาแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด และการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งระบบบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกในระดับท้องถิ่น สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับเมืองที่ส่งผลต่อภาพรวมระดับประเทศ มีตัวอย่างผลสำเร็จจากการขับเคลื่อน “โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอยรวมแบบผสมผสาน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อมุ่งสู่เมืองคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองยโสธร อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร” ที่ทำให้เทศบาลได้ทราบถึงองค์ประกอบของขยะที่เป็นข้อมูลในการวางแผนการจัดการขยะได้อย่างเหมาะสม ปริมาณขยะที่จะนำเข้าสู่ระบบการฝังกลบจึงลดลง ส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างรายได้จากการแลกเปลี่ยน/ขายคาร์บอนเครดิต โดยในปัจจุบันเทศบาลเมืองยโสธรมีคาร์บอนเครดิตสะสมในบัญชีที่ได้รับการรับรองแล้ว จำนวน 12,149 ตัน มีคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) สามารถแลกเปลี่ยน/ขายคาร์บอนเครดิตแล้วกว่า 4,838 (tCO2e) คิดเป็นเงินประมาณ 1,000,000 บาท นอกจากนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้กำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ปี 64 – 65 ให้เกิดประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ด้วยการติดตามสถานการณ์ที่ส่งผลต่อการเกิดไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่ และเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดการเกิดมลพิษจากแหล่งกำเนิด ทั้งยานพาหนะ การก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม และภาคครัวเรือน พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ให้พี่น้องประชาชนเข้าใจและมีส่วนร่วมตามมาตรการภาครัฐ


“การแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องใหญ่ที่มิใช่กระทบต่อวิถีชีวิตคนไทย แต่มันกระทบต่อทุกอณูชีวิต ทุกลมหายใจของมนุษย์ทั้งโลก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องเป็นตัวอย่างในการขับเคลื่อนในลักษณะ “ผู้นำต้องทำก่อน” และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนและทุกภาคส่วนในการช่วยกันดูแลชุมชน ดูแลท้องถิ่น ดูแลจังหวัดของตนเองให้เป็นจังหวัดต้นแบบ ให้เป็นจังหวัดที่ทำบุญกับโลกใบนี้ของเรา ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้น กระทรวงมหาดไทยจะได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด บูรณาการภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และประสานให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการขับเคลื่อนต่อยอดขยายผล ทำให้การปลดปล่อยก๊าซที่จะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมันลดน้อยถอยลง เพื่อประเทศไทยก้าวไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-zero GHG emission) ภายในปี 2065 อันจะทำให้ประเทศไทยอยู่คู่กับโลก โลกของเราอยู่คู่กับจักรวาล คู่กับมวลมนุษยชาติไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งมันจะไม่มีทางเป็นไปได้ “ถ้าวันนี้เราไม่ทำทันที”” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

เสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก”

17 ก.ค. – หลายหน่วยงานรวมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในงานเสวนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” โดย บมจ.อสมท นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานสัมมนา “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” ยอมรับว่า นับว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกกระทบมายังไทย จากภาษีศุลกากรของสหรัฐกระทบมายังประชาชน ผู้ผลิต เอสเอ็มอีรายย่อย ความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ประชาชน จึงต้องร่วมมือกันปลดล็อกอนาคตประเทศไทย…สู้วิกฤติโลก” โดยได้จัดเวทีใหญ่ให้ผู้กำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศ และภาคเอกชน มาร่วมแสดงความเห็น ด้านเศรษฐกิจ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในหัวข้อ เกาะติดมาตรการกระทรวงการเงินการคลัง พลิกฟื้นกำลังซื้อในประเทศ และแนวโน้มเศรษฐกิจ และสงครามการค้า ภาษีนำเข้าของสหรัฐ ว่าทีมไทยแลนด์ นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง กำหนดเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐช่วงค่ำวันนี้ ต้องชั่งน้ำหนัก ทั้ง 2 มิติ คือ ผลกระทบที่ผู้ส่งออก และผู้ผลิตในประเทศทั้งภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกร รัฐบาลไม่มอง เพียงจะเจรจาภาษีได้เท่าไหร่ ยอมรับไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แต่จะสานประโยชน์ให้ตกกับทุกฝ่าย […]

ทบ. เร่งตรวจสอบวิเคราะห์ “ทุ่นระเบิด” คาดผลชัด 2-3 วัน

17 ก.ค.- โฆษก ทบ. แจงเร่งตรวจสอบเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดชายแดนช่องบก คาดใช้เวลา 2-3 วัน ชัดเจนเรื่องชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ยังไม่ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยภายหลังได้รับทราบรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (16 ก.ค.68) เกิดเหตุกำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 เหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ปัจจุบันทุกนายอาการปลอดภัยอยู่ในระหว่างการพักสังเกตอาการที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี อย่างใกล้ชิด สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับทุ่นระเบิดดังกล่าวนั้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเข้าพื้นที่เกิดเหตุและเก็บหลักฐาน มาดำเนินการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดอย่างละเอียด ซึ่งขั้นตอนนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ในเรื่องของชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ตามที่สังคมได้ให้ข้อสังเกตว่าอาจเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่การสู้รบเดิม ทั้งนี้ โฆษกกองทัพบก ยังได้กล่าวว่า หลังจากนี้หน่วยในพื้นที่ชายแดน จะได้มีการตรวจสอบพิสูจน์ทราบเพิ่มเติมว่า ทางกัมพูชาได้มีการนำทุ่นระเบิดมาใช้ในพื้นที่หรือไม่ เพราะในปัจจุบันทั้งไทยและกัมพูชา ได้ให้สัตยาบันในการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีในอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2542.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 สั่งดูแลสิทธิสวัสดิการ-ปูนบำเหน็จ ทหารเหยียบกับระเบิด

17 ก.ค.- แม่ทัพภาค 2 สั่งดูแลสิทธิสวัสดิการ-ปูนบำเหน็จ ทหารเหยียบกับระเบิดขาขาด เลื่อนยศ “สิบเอก” รับบำนาญเกือบ 30,000 บาท/เดือน เงินช่วยเหลือกว่า 1 ล้านบาท บรรจุทายาทรับราชการ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ฝ่ายกำลังพลกองทัพภาคที่ 2 ได้ตรวจสอบสิทธิของข้าราชการทหารในการปฏิบัติราชการสนาม และให้ดำเนินการปูนบำเหน็จแก่พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน สูงสุด เพราะ เป็นการปฏิบัติภารกิจเพื่อปกป้องอธิปไตยในการ ออกลาดตระเวนและเหยียบกับระเบิดที่เนิน 481 วานนี้ โดย ได้รับการปูนบำเหน็จ เลื่อนชั้นเป็นสิบเอก (ส.อ.) หลังจากรักษาตัวแล้วเสร็จ ปลดเหตุสูญเสียฯจากการรบ ได้รับบำนาญเดือนละ 15,600 บาท ซึ่งเมื่อรวม เงินรายเดือน จากหน่วยงาน/องค์กรต่าง ๆ แล้ว คาดว่าจะได้รับเงิน รวม 29,800 บาท/เดือน (โดยประมาณ) […]