กรุงเทพฯ 13 มี.ค. – “วิโรจน์” พร้อมว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.ฝั่งธนฯ เยี่ยมผู้สูงอายุเขตธนบุรี ชูนโยบาย 3+1 ท็อปอัปสวัสดิการ การดูแลผู้สูงอายุที่พรีเมียมต้องมี
วันนี้ (13 มี.ค.) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตธนบุรี สุประวีณ์ น้อยสุขยิ่ง และ ทรงวุฒิ จันทร์อำนวยโชค ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. เขตคลองสาน และ ส.ส.เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 22 พรรคก้าวไกล ร่วมเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุในชุมชนหิรัญรูจี ชุมชนเก่าแก่ย่านฝั่งธนฯ เพื่อสอบถามพูดคุยและสะท้อนปัญหาด้านสาธารณสุขกับผู้สูงอายุในชุมชน ในช่วงการระบาดของโควิด-19 และวิกฤติข้าวของแพง
เสียงสะท้อนจากชุมชนหิรัญรูจี ส่วนใหญ่เป็นประเด็นด้านสาธารณสุข เพราะเป็นชุมชนที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก มีผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
นายวิโรจน์ ได้ย้ำกับผู้สื่อข่าวหลังจากที่ลงพื้นที่ว่า เราจะต้องมี care giver เพื่อดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งผู้ป่วยติดเตียงส่วนใหญ่มักป่วยหรือมีอาการแทรกซ้อนเป็นโรคปอดอักเสบ นโยบายผู้สูงอายุของผมจะไปให้ไกลกว่าแค่ care giver แต่จะสนับสนุนวัคซีน ipd ป้องกันโรคปอดอักเสบด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องเกิดผู้ป่วยติดเตียงโดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ นโยบายด้านสาธารณสุขของนายวิโรจน์ เป็นชุดนโยบายเรียกสั้นๆ ว่า 3+1 ซึ่งจะประกอบด้วย (1) การสนับสนุน care giver เพื่อดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงทั่ว กทม. (2) สนับสนุนวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ (ipd) (3) สนับสนุนนโยบายเพิ่มศูนย์กายภาพบำบัด เพิ่มงบประมาณปรับปรุง เพิ่มปริมาณอุปกรณ์กายภาพบำบัด และสุดท้ายที่เพิ่มขึ้นมาเป็นออปชันพิเศษก็คือ การแพทย์ทางไกล หรือ telemed เพราะจากการสำรวจ พูดคุยในหลายๆ เขตทั่วกรุงเทพฯ รวมทั้งชุมชนหิรัญรูจี ในวันนี้ พบว่ามีผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพัง ต้องการที่จะได้รับการดูแล ต้องการยา หรือต้องการคำแนะนำทางการแพทย์ แต่ไม่สะดวกเดินทางไปยังโรงพยาบาลหรือศูนย์สุขภาพได้ นายวิโรจน์ จึงเห็นว่าการเพิ่มออปชัน telemed นอกจากจะช่วยลดปัญหาผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องได้รับคำแนะนำต่างๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ยังช่วยให้ผู้สูงอายุที่อยู่บ้านคนเดียวสามารถเข้าถึงโอกาสทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น
นายวิโรจน์ ยังกล่าวว่า การใช้งบประมาณสำหรับวัคซีน ipd นั้นน้อยมาก ราว 50 ล้านบาทเท่านั้น แต่ได้ผลลัพธ์ดีมาก เพราะการป้องกันโรคปอดอักเสบในกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุจะช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรค ซึ่งโรคนี้มีจำนวนผู้ป่วยเป็นอันดับ 3 ถ้าลดความรุนแรงของโรคได้ จะช่วยลดปัญหาการดูแลผู้ป่วยในครอบครัวอีกด้วย ส่วนการท็อปอัปสวัสดิการผู้สูงอายุก็ต้องทำควบคู่กันไป เพราะเบี้ยคนชรา 600 บาท ไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายด้านต่างๆ กทม.มีงบประมาณสำหรับการจัดสรรตรงนี้ โดยนำเงินมาจากภาษีที่ดินที่จะเก็บเพิ่มได้ 10,000 ล้านบาท มาจ่ายเป็นสวัสดิการ อุดหนุนทั้งผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ ให้มีสวัสดิการที่ดียิ่งขึ้น. – สำนักข่าวไทย