เคหะท่าทราย หลักสี่ 28 ม.ค.- “อรรถวิชช์” ย้ำพรรคกล้าเป็นพรรคการเมืองคุณภาพ ยอมรับสนามนี้เสี่ยงแต่คุ้ม ขอรวมพลังเสียงไม่แตก – ไม่เชื่อผลโพล เป็นอันดับสอง เหตุพลิกมาหลายรอบแล้ว
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 หลักสี่-จตุจักร พรรคกล้า กล่าวก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ย้ำว่าวันนี้ธีมที่ใช้ คือ การรวมพลัง มาช่วยเรื่องการเมืองคุณภาพ เพราะที่ผ่านมา เป็นการเมืองลักษณะแบ่งแยกซ้ายขวา เรากำลังทำการเมืองแนวใหม่ที่จะแข่งขันกันถึงเป้าหมายว่าจะทำอะไรให้ประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง ซึ่งในการเดินพบปะประชาชนยอมรับว่ามีการแบ่งแยกกันอยู่ แต่ขณะนี้พบว่ากระแสตอบรับจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและต่างพรรคการเมือง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ นายไตรรวค์ สุวรรณนะครีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ก็ได้โทรศัพท์มาให้กำลังใจ และพร้อมช่วยกันสนับสนุน และยังมี อ.แก้วสรร อติโพธิ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และอดีตสมาชิกวุฒิสภา ขึ้นเวทีช่วยหาเสียง
นายอรรถวิชช์ ยังระบุว่าในวันนี้ประชาชนมาร่วมฟังการปราศรัยทะลุ 2,000 คน ถือเป็นการปราศรัยที่ใหญ่มาก แต่ก็พยายามรักษามาตรการป้องกันโควิด-19 แต่ยอมรับว่าโค้งสุดท้ายก็มีความกังวลใจ เพราะกลัวเสียงแตก ต้องยอมรับว่าขณะนี้ผู้สมัครที่ทำงานพื้นที่มายาวนาน มีแค่สองคน คือ นายสุรชาติ เทียนทอง พรรคเพื่อไทย และตนเอง หากเสียงแตกเกินไป ก็จะเกิดปัญหาอาจไปได้ไม่ถึงเส้นชัย วันนี้จึงใช้แนวคิด รวมพลังทุกภาคส่วนมาช่วยกัน
ส่วนผลโพลสำรวจคะแนนความนิยมการเลือกตั้งซ่อมหลักสี่จตุจักรได้เป็นอันดับสอง นั้น นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อโพล เนื่องจากลงเลือกตั้งมา 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ซึ่งใน 2 ครั้งแรก โพลบอกว่าแพ้ แต่กลับชนะ ส่วนครั้งที่ 3 โพลบอกชนะ แต่กลับแพ้ ตนจึงขอบอกว่าสนามกรุงเทพมหานคร โพลหักปากกาเซียนทุกคน ต้องดูเรื่องจริงหน้างานดีกว่า ยืนยันว่า ทำการเมืองแนวคุณภาพ การหาเสียงใช้คำพูดอาจจะไม่ได้สะใจ แต่เป็นการเมืองที่ควรจะเป็น เนื่องจากอยู่ในบรรยากาศที่แบ่งแยกมานานแล้ว และเชื่อว่าพรรคเมืองที่เกิดใหม่ก็ยึดแนวเศรษฐกิจ แนวคุณภาพ แบบที่พรรคกล้าทำ แต่ยังไม่มีพรรคใดส่งผู้สมัครลงสนาม เชื่อว่าบริบทการเมืองเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้อยู่กันด้วยความเกลียดชังหรือความกลัว แต่วัดกันด้วยคุณภาพจะทำให้การเมืองไทยเปลี่ยนโฉมไป
นายอรรถวิชช์ ยังกล่าวถึงวิธีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่จะเกิดขึ้น ว่า หากไม่มีการทุจริต ตนเองจะยกมือให้กับพลเอกประยุทธ์แน่นอน รวมถึง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีด้วย เพราะส่วนตัวมองว่า หากเปลี่ยนม้ากลางศึก ไม่ตอบโจทย์กับการแก้ไขปัญหา เพราะขณะนี้ การเมืองไม่ได้วัดด้วยปริมาณ แต่วัดด้วยคุณภาพ พร้อมระบุว่าการเมืองในขณะนี้ถึงเสี่ยงแต่คุ้ม เพราะเชื่อว่าการเมืองเปลี่ยนได้ และไม่กังวลถึงกรณีการฟ้องกันไปมาของผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ .-สำนักข่าวไทย