ทำเนียบรัฐบาล 28 ม.ค.-โฆษกรัฐบาลเผยนายกฯ สั่งสานต่อข้อหารือกับซาอุฯให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว ส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชน ผลักดันความร่วมมืออุตสาหกรรมท่องเที่ยว สร้างงานสร้างอาชีพให้คนไทย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทันที ภายหลังเสร็จสิ้นการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 25 – 26 มกราคมที่ผ่านมา โดยให้เร่งสานต่อข้อหารือด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย-ซาอุดีอาระเบีย จากบริบทที่นายกรัฐมนตรี และเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ชัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลชะอูด (His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เน้นย้ำความสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชน จะเป็นรากฐานสำหรับความสัมพันธ์ที่กำลังเติบโตระหว่างทั้งสองราชอาณาจักร ส่งผลถึงการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อผลักดันความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งแน่นอนว่าจะเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนแรงงาน ส่งเสริมเปิดโอกาสให้แรงงานไทยเข้าทำงานในภาคการท่องเที่ยว และ บริการ ซึ่งแรงงานไทยมีศักยภาพ และมีฝีมือเป็นที่ต้องการที่ซาอุดีอาระเบีย
นายธนกร กล่าวว่า ซาอุดีอาระเบียให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หนึ่งในเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของซาอุดีอาระเบีย เพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการขนาดใหญ่และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้แก่ โครงการ NEOM เมืองแห่งอนาคต เน้นใช้พลังงานสะอาด ไร้มลพิษ โดยตั้งเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและเขตธุรกิจชั้นนำของโลก มีแผนคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งจะสร้างงานใหม่ได้กว่า 380,000 ตำแหน่ง ขณะที่เมือง Al-Ula แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและโบราณคดีของโลก ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางการวิจัยทางโบราณคดีและการอนุรักษ์ระดับโลก (The Kingdoms Institute) และเปิดตัวเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา รวมทั้งโครงการ Red Sea Project โครงการพัฒนาหมู่เกาะริมชายฝั่งทะเลแดงในมณฑล Tabouk ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Al-Ula เน้นการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเลและชายฝั่ง เช่น การดำน้ำ ปีนเขา กีฬาผาดโผนต่าง ๆ ใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโครงการทั้งหมด โดยคาดว่าจะเปิดตัวเฟสแรกในช่วงปลายปี 2565 และมีกำหนดการแล้วเสร็จในปี 2573 ซึ่งในช่วงของการก่อสร้างโครงการจะก่อให้เกิดการจ้างงานได้กว่า 70,000 ตําแหน่ง
นายธนกร กล่าวว่า โครงการเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทย รวมไปถึงแรงงานฝีมือและกึ่งฝืมือของไทยให้สามารถเข้าทำงานได้มากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะภาคธุรกิจการบริการ และการโรงแรม รวมทั้งจะส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน ขณะที่สายการบินแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย Saudi Arabian Airlines ประกาศเปิดเที่ยวบินตรง (Direct flights) จากซาอุดีอาระเบียมายังประเทศไทย โดยจะเปิดรับจองที่นั่งเร็ว ๆ นี้ คาดว่าจะเปิดการบินในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันจำนวนมาก ประกอบกับ สอดคล้องกับนโยบายที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ คือการเปิดประเทศ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ควบคู่กับกำหนดมาตรการด้านสาธารณสุขให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โรคโควิด-19
“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การฟื้นฟูความสัมพันธ์ครั้งนี้ จะเป็นโอกาสให้เกิดความร่วมมือทั้งทางภาครัฐ เอกชน และประชาชน ซึ่งไม่เพียงโครงการขนาดใหญ่และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของซาอุดีอาระเบียที่จะเป็นจุดเริ่มของความร่วมมือ การพัฒนาความสัมพันธ์ครั้งนี้ ประเทศซาอุดีอาระเบียยังมีโอกาสเพื่อความร่วมมือระหว่างกันอีกมาก ทั้งในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง ภาคการบริการ การค้าการลงทุนทางธุรกิจ ด้านพลังงาน อุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งทุกภาคส่วนที่กล่าวมาจะสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนไทยได้อย่างต่อเนื่อง และถือเป็นรากฐานสำคัญต่อยอดความร่วมมืออื่น ๆ ได้ในอนาคตต่อไป” นายธนกร กล่าว.-สำนักข่าวไทย